
คุณเอก เมืองเพชร121

หมวดตอบจดหมาย เรียน อ.ช้าง–วัดห้วย ผมเอก เมืองเพชรครับ และผมต้องขอขอบคุณ อ.ช้าง ที่คราวก่อนช่วยอุดหนุนแม่นางกวักเนื้อแร่บางไผ่ไปในร...
อ่านเพิ่มเติมโสภณ กรุงเทพ120

หมวดตอบจดหมาย สวัสดี อ.ช้าง วัดห้วย ผมเองได้ศึกษาพระเครื่องและเครื่องรางมาก็เกือบ ๆ 10 ปีแล้ว ก็ถือว่ามีความรู้พอควร จึงเลือกสะสมเฉ...
อ่านเพิ่มเติมคุณพิชิต สุพรรณบุรี 119

หมวดตอบจดหมาย สวัสดี อ.ช้าง วัดห้วย ผมได้ติดตามเว็บช้างมานานกว่า 10 ปีแล้ว และก็สังเกตว่า อ.ช้าง จะไม่ลงพระสึก หรือพระชำรุดเลย ผมจึ...
อ่านเพิ่มเติมหมวดพระหลักฝากขาย เกรดพรีเมี่ยม.

หมวดพระหลักฝากขาย เกรดพรีเมี่ยม เรียน อ.ช้าง ที่นับถือ ผมต้องขอขอบคุณ อ.ช้าง ที่เป็นตัวกลางในการติดต่อพระสมเด็จ “อง...
อ่านเพิ่มเติมรายการเพิ่มเติมใหม่ !!!

อัพเดทวันที่ 16 เดือนเมษายน พ.ศ. 2568 หมวดตอบจดหมาย คุณพิชิต สุพรรณบุรี - พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 (สึก) - พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 (บิ่นมุมล่างซ้าย) - พระสมเด็จว...
อ่านเพิ่มเติม
หมวดตอบจดหมาย สวัสดี อ.ช้าง วัดห้วย ผมได้ติดตามเว็บช้างมานานกว่า 10 ปีแล้ว และก็สังเกตว่า อ.ช้าง จะไม่ลงพระสึก หรือพระชำรุดเลย ผมจึงได้โทรถาม อ.ช้าง ก่อนว่า พระสมเด็จสึก ๆ บางองค์ก็บิ่นมุม แบบนี้ลงในหมวดตอบจดหมายได้หรือเปล่า อ.ช้าง ก็ตอบว่าได้ก็เลยจัดส่งมาให้ อ.ช้าง ลงในหมวดตอบจดหมายให้ด้วยครับ องค์ที่ 1 พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ สึกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พระสมเด็จองค์นี้ใส่ติดตัวมาตลอดตั้งแต่สมัยพ่อผมจนตกมาถึงรุ่นผม ผมก็ใส่ติดตัวมาถึงทุกวันนี้ ส่วนพิมพ์ก็คาดว่าเป็นพิมพ์ใหญ่แต่เป็นพิมพ์ที่เท่าไหร่ อ.ช้าง ก็ช่วยดูและตอบลงในหมวดตอบจดหมายให้ที ส่วนราคาตอนแรกจะเปิดราคาเกือบ ๆ ล้าน อ.ช้าง ก็บอกว่า แสนต้น ๆ ก็สูงแล้ว เพราะ อ.ช้าง บอก ลูกค้าส่งมาลงในหมวดตอบจดหมายสวย ๆ ก็แค่หลักหมื่น สวย ๆ ก็แสนกว่าเล็กน้อย ผมก็เลยเปิดพระสมเด็จองค์สึกที่ 150,000 บาท องค์ที่ 2 พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่อกวี บิ่นมุมล่างซ้ายแต่องค์นี้สวย เปิดที่ 140,000 บาท องค์ที่ 3 พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่มีคราบกรุ (พระสองคลอง) องค์นี้บิ่นมุมล่างขวา เปิดราคาที่ 120,000 บาท องค์ที่ 4 พระพิจิตรเขี้ยวงู เนื้อชินเงิน พระกรุหายาก เปิดราคาที่ 65,000 บาท องค์ที่ 5 ลูกอมเครื่องราง หัวนะโม ลงรักถักเชือก ปี 2500 พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดราคาที่ 25,000 บาท รวมทั้งหมด 5 องค์ อ.ช้าง ก็ช่วยลงให้ด้วยนะครับ
ขอแสดงความเคารพและนับถืออย่างสูง คุณพิชิต สุพรรณบุรี
ตอบ คุณพิชิต สุพรรณบุรี พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 อกวี (สึก) ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณพิชิต ที่ได้ติดตามเว็บช้างมากว่า 10 กว่าปีแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นสมาชิกคนเก่าคนแก่ของเว็บช้างเลยนะครับ องค์แรกเป็นพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ ดูจากรูปแล้วน่าจะเป็นพิมพ์ที่ 2 อกวี สภาพใช้จนสึก คือใส่มาสมัยคุณพ่อคุณพิชิต ใส่ตั้งแต่หนุ่ม ๆ พอเริ่มมีอายุมากขึ้นก็มอบให้ลูกชายคือคุณพิชิตใส่ต่อ คนสมัยก่อนก็ใส่พระแบบนี้แหละ ตอนแรกก็อาจจะสวยใช้ไปใช้มาก็สึก สมัยก่อนอาจจะยังไม่มีเลี่ยมพลาสติกหรือมีตลับ อาจจะห่อผ้าหรือเหน็บที่แขนเสื้อพับแขนเสื้อพกติดตัวตามแบบฉบับชาวบ้าน แต่คุณพิชิตก็มั่นใจนะว่าเป็นพระแท้และยินดีที่จะใส่ติดตัวมาก็หลายปีแล้ว ใส่แค่องค์เดียวโดด ๆ สภาพพิมพ์เป็นพระสมเด็จที่ใช้สึกทั้งด้านหน้าและหลัง (ไม่ใช่ไปฝนให้สึก) สภาพพิมพ์ทรงต่าง ๆ ก็ยังอยู่ครบไม่มีส่วนใดหลุดหาย มีแค่บางจุดที่เป็นหลุมใหญ่ แค่ 2-3 จุด แต่ก็ไม่ได้อุดให้เต็มปล่อยไว้เป็นธรรมชาติ คุณพิชิตได้ศึกษาพระสมเด็จวัดระฆังมาตลอดโดยใช้พระสมเด็จองค์สึกองค์นี้เป็นองค์ครูในการดูเนื้อหาต่าง ๆ จนหาเช่าเพิ่มได้อีก 2 องค์ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระบิ่น, กะเทาะ, แหว่งเล็ก ๆ น้อย ที่เลือกซื้อพระประเภทนี้ก็เพราะว่าราคามันถูกและคนไม่สนใจ เพราะเห็นว่าเป็นพระชำรุด ผู้เขียนว่าเป็นการเริ่มต้นอย่างชาญฉลาดมาก ๆ เลยครับ ส่วนด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ หรืออาจจะใช้จนสึกเรียบก็ได้ ส่วนตรงมุม 4 มุมก็ถูกสัมผัสจนมนโค้ง ส่วนขอบข้างก็จะมีเม็ดสีเทา ๆ อิฐแดงก็มี ตอนแรกคุณพิชิตจะเปิดราคาเกือบล้าน ผมก็บอกว่ามันสูงไป ในหมวดตอบจดหมายมีแค่หลักหมื่นกลาง ตั้งแต่ 4-6 หมื่น และหมื่นปลาย 7-9 หมื่น สูงสุดก็แค่แสนกว่าเล็กน้อย ส่วนหลักล้านและหลาย ๆ สิบล้านส่วนใหญ่จะลงในเกรดพรีเมี่ยม ให้เศรษฐีเค้าเล่นกัน สุดท้ายคุณพิชิตก็เปิดราคาไว้ที่ 150,000 บาท ก็ถือว่าไม่แพง ใครชอบพระสึกพระใช้มาอย่างยาวนาน 2 ชั่วอายุคนก็ต้ององค์นี้เลยครับ พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 อกวี (มุมล่างซ้ายบิ่น) องค์ที่ 2 พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 อกวี เห็นว่าองค์นี้ได้จากพรรคพวกกันของคุณพิชิต ที่ได้มาจากตามบ้านแถวอำเภอสองพี่น้อง ซึ่งเป็นญาติกับพรรคพวกเพื่อนซึ่งพาไปซื้อได้ในราคาไม่แพง สภาพพิมพ์พระสมเด็จองค์นี้ถือว่าเป็นพระดูง่ายอีกองค์ทั้งพิมพ์และเนื้อ พระสมเด็จองค์นี้ถ้าไม่หักมุมล่างซ้ายพระไปนิดนึง องค์นี้ราคาต้องพุ่งถึง 10 กว่าล้านบาท ให้ทุกท่านดูเส้นซุ้มทางขวาพระมีการหดตัวของเส้นซุ้มหดเว้าไปเว้ามา ตามพื้นผิวเห็นมีเม็ดพระธาตุ (เม็ดมวลสาร) ก้อนใหญ่ฝังอยู่บนพื้นผิว และบางจุดเม็ดมวลสารก็หลุดและมีคราบความเก่าเข้าไปแทนที่ ซึ่งบ่งบอกว่าหลุมนี้มีมานานแล้ว ส่วนด้านหลังเป็นหลังเรียบ ตามขอบมีรอยปริแตกแหว่งหลุดหายไปบ้างเล็กน้อย แบบเป็นธรรมชาติ คุณพิชิตเปิดราคาพระสมเด็จองค์นี้เพียง 140,000 บาท ก็ถือว่าถูกมาก ๆ เลยครับ พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 อกวี (พระสองคลอง) องค์ที่ 3 พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 อกวี สภาพพื้นผิวทั่วไปมีคราบกรุ แบบนี้ต้องเรียกว่า “พระสมเด็จสองคลอง” คือเรียกว่าพระสมเด็จวัดระฆังฝากกรุบางขุนพรหมส่วนมุมล่างขวาก็มีคราบกรุปกคลุมมาแต่เดิม ก็หมายความว่าน่าจะบิ่น, กะเทาะหายไปในกรุแล้ว สภาพพิมพ์เป็นพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ (สองคลอง) ที่สวยลึกพอสมควร พื้นผิวโดยทั่วมีคราบกรุบาง ๆ ปกคลุมอยู่ ทำให้ง่ายต่อการพิจารณา คุณพิชิตได้ค้นหาพระสมเด็จตามบ้านแถวภาคกลางละแวกใกล้เคียง แถวบ้านที่ใกล้จังหวัดสุพรรณบุรีจะไปหาหมดและเลือกซื้อแต่พระดูง่าย ๆ เพื่อนำมาปล่อยต่อ แล้วมีทุนค่อยไปหาใหม่และค้นคว้าไปเรื่อย ๆ ส่วนด้านหลังเป็นหลังพรุน ๆ คือเป็นหลุมเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วพื้นผิวด้านหลังหรือจะเรียกหลังแบบนี้ว่า “หลังสังขยา” ก็ได้ คุณพิชิตเปิดราคาพระสมเด็จองค์นี้ที่ 120,000 บาท ก็คือก็ถูกอีกแล้ว พระชำรุด, แหว่ง, หักนิดหน่อยลองไปถามเซียนดูราคากลางก็หลาย ๆ แสนแล้ว คุณพิชิตเปิดแค่แสนนิด ๆ ก็ถือว่าถูกแล้วครับ พระพิจิตร เขี้ยวงู เนื้อชินเงิน องค์ที่ 4 พระพิจิตร เขี้ยวงู เนื้อชินเงิน จริงพิมพ์นี้ต้องเรียกว่าพระพิจิตรเม็ดน้อยหน่า พิมพ์เขี้ยวงู กรุท่าฉนวน อยู่ในสมัยสุโขทัยคือเมื่อ 600 ปีมาแล้ว มีทั้งเนื้อชินเงินและเนื้อดิน พระพิจิตรเป็นพระขนาดเล็กจิ๋ว คือความสูงประมาณ 6-10 มม. กว้าง 3-4 มม. พระพิจิตร ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า มีทั้งพิมพ์แขนกลมและแขนหักศอก และก็มีพิจิตรวัดนาคกลาง นี่ก็คือสุดยอดของพระพิจิตรเลย แต่ที่ขาดไม่ได้และโด่งดังมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นพระชุดเล็กที่ดังที่สุดและหายากที่สุดโดยเซียนรุ่นเก่าจะเก็บหมดและหวงมาก ได้แก่ พระพิจิตรเขี้ยวงู โดยเฉพาะเนื้อชินเงินนั้นหายากที่สุด เซียนรุ่นเก่า ๆ บางคนพกติดตัวโดยเหน็บตามซอกฟันที่ห่างคือไม่ให้ใครเห็นเลย พระพิจิตรเขี้ยวงูส่วนใหญ่จะพบเจอแต่เนื้อดินลักษณะจะคล้ายพระพิจิตรเม็ดน้อยหน่า เพียงแต่สรีระรูปร่างของตัวองค์พระจะผอมบางกว่าพิจิตรเม็ดน้อยหน่าแค่นั้นเอง คุณพิชิตเคยเปิดผู้เขียน 45,000 บาท พอดีมีพรรคพวกสอบถามสรุปพรรคพวกต่อแค่ 3 หมื่นบาท คุณพิชิตบอกให้เอากลับลองเปิดขายในหมวดตอบจดหมาย เลยเปิด 65,000 บาท ผู้เขียนจริง ๆ ก็อยากได้นะ ก็เลยสอบถามคุณพิชิตดูว่าถ้าผมเอาคิดราคาให้พิเศษหน่อยจะเอาไว้ใช้เอง คุณพิชิตเลยลดให้เหลือ 40,000 บาท ผู้เขียนก็ตกลงเพราะพระพวกนี้หายากมาก ๆ โดยเฉพาะเนื้อชินเงินไม่เห็นมาเป็น 10 ปีแล้ว พอมาเจอก็เลยคิดว่าให้เอาขึ้นเองดีกว่า ส่วนพุทธคุณก็จะเน้นไปทางคงกระพันแบบยอดเยี่ยมครับ เครื่องรางลูกอมหัวนะโม ลงรักถักเชือก ปี 2500 หลวงพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช องค์ที่ 5 ลูกอม หัวนะโม หลวงพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช ชิ้นนี้จะถักเชือกแต่เดิม สร้างปี 2500 เครื่องรางหัวนะโม พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ แห่งวัดสวนขัน เทวดาแห่งแดนใต้ นี่คือเครื่องรางประจำจังหวัดนครศรีธรรมราชเลยทีเดียว ชาวนครศรีฯ จะนับถือและเชื่อถือเครื่องรางที่เกี่ยวกับหัวนะโมเป็นอย่างมาก และผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบันเลยทีเดียว ส่วนพุทธคุณก็ครอบจักรวาลทั้งเมตตามหานิยม โชคลาภความสำเร็จ และช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย พลิกร้ายกลับมาเป็นดี เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนมาอย่างยาวนาน เครื่องรางลูกอมหัวนะโมชิ้นนี้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.7 ซม. หนา 1.2 ซม. เป็นเนื้อเงินยวง (เงินผสม) ด้านหน้ามีลักษณะเหมือนตัวเจล้อมรอบด้วยวงกลม รวมเรียกว่า “นะโม” ด้านหลังเป็นตัวอุหางขึ้นยอด ถักเชือกตรงขอบแล้วถักหูไว้แขวน สภาพเก่ามากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง คุณพิชิตเปิดราคาไว้เพียง 25,000 บาท จะถูกหรือแพงก็จะพูดลำบาก เพราะของชิ้นนี้จะหายากมาก เคยผ่านตามาแค่ 1-2 ชิ้นเท่านั้น แต่ความเก่าความหายากก็สุด ๆ เหมือนกัน ใครเงินเหลือ ๆ ก็อย่าพลาดเลยครับ
ช้าง–วัดห้วย 082-5699162 ID Line Changwathuay หมวดตอบจดหมาย สวัสดี อ.ช้าง วัดห้วย ผมเองได้ศึกษาพระเครื่องและเครื่องรางมาก็เกือบ ๆ 10 ปีแล้ว ก็ถือว่ามีความรู้พอควร จึงเลือกสะสมเฉพาะบางอย่างที่ดูง่าย ๆ ราคาเบา ๆ ไม่แรงเกินกำลัง อย่างเช่น องค์พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ เห็นเจ้าของเดิมท่านแรกเค้าได้ซื้อจากคำแนะนำจาก อ.ช้าง แล้วผมก็ซื้อต่อเค้ามาอีกที ถือว่าผมเป็นคนที่ 3 แล้ว ที่ซื้อพระสมเด็จองค์นี้ แต่บังเอิญผมก็ดูแท้ก็เลยไม่ได้โทรไปสอบถาม อ.ช้าง ว่า พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่องค์นี้ อ.ช้าง เคยแนะนำเจ้าของเดิมไปซื้อใช่มั้ย ส่วนตัวผมเองก็ดูพระสมเด็จองค์นี้ว่า เป็นพระที่มีพิมพ์ทรง และเนื้อหาของพระที่ดูง่าย แล้วไม่มีที่ให้ตำหนิเลย ราคาที่เปิดมาก็รับไหว ผมจึงได้นำไปถ่ายรูปใหม่แล้วมาลงในหมวดตอบจดหมายของ อ.ช้าง–วัดห้วย เป็นวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เกศทะลุซุ้ม ผมเปิดราคาที่ 4,500,000 บาท องค์ที่ 2 เป็นพระนางพญา พิมพ์เข่าโค้ง กรุวัดนางพญา จังหวัดพิษณุโลก พระนางพญาองค์นี้ผมคัดสวยสุดของผมเลย เพื่อมาลงในหมวดตอบจดหมายนี้ เป็นพระเนื้อออกเขียว และสวยมาก ๆ ผมเปิดราคาที่ 2,500,000 บาท องค์ที่ 3 พระกำแพงพลูจีบ องค์นี้ได้จากชาวบ้านมาแบบนี้เลย มีคราบเลอะ ๆ หน่อย ผมก็ปล่อยไว้แบบเดิม ๆ และมีคราบดำ ๆ จะเรียกว่ารารักหรือเปล่าไม่แน่ใจ องค์นี้เปิดราคาที่ 1,500,000 บาท องค์ที่ 4 พระรอดลำพูน องค์นี้ผมดูเป็นพิมพ์ตื้น องค์นี้ถ้าไม่แท้ก็คัดออก แต่ผมดูพิมพ์ ดูเส้นแตก และดูเนื้อที่ละเอียดก็น่าจะผ่านนะครับ องค์นี้ผมเปิด 1,500,000 บาท เช่นกันครับ เผื่อไป 1 องค์ องค์ที่ 5 เป็นพระพิจิตร เม็ดข้าวเม่า เป็นพิมพ์แขนหักศอก เนื้อชินเงิน องค์นี้ก็สวยมาก ผมเปิดราคา 55,000 บาท ทั้งหมดก็รวม 5 องค์ ถ้าองค์ไหน อ.ช้าง ดูไม่ผ่านก็คัดออกได้เลยครับ
ขอแสดงความนับถือและชื่นชมมาตลอด โสภณ กรุงเทพฯ
ตอบ คุณโสภณ กรุงเทพฯ พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 4 เกศทะลุซุ้ม องค์ที่ 1 ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมคุณโสภณ ที่เล่นพระมาแค่ 10 ปี แต่ความสามารถในการดูพระเครื่องอย่างกับเล่นพระมา 20-30 ปีเลยทีเดียว และพระสมเด็จองค์ที่มาลงนี้เมื่อก่อนผู้เขียนเคยแนะนำลูกค้าในเว็บไปซื้อ เพราะเห็นว่าถูก และสามารถไปต่อได้อีก ภายหลังก็ขายไปอีกกี่ต่อก็ไม่รู้ แต่คุณโสภณนำมาลงในหมวดตอบจดหมายครั้งนี้ ผู้เขียนถือว่าดีมากเลย จะได้รู้ข่าวว่าพระสมเด็จองค์นี้ตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ แล้ว และราคาขยับจากหลักหมื่น ขึ้นเป็นหลักแสน และตอนนี้ทะลุหลักล้าน มือสุดท้ายคุณโสภณเปิดที่ 4,500,000 บาท ผู้เขียนถือว่าสิ่งที่แนะนำบัดนี้มันเป็นจริงแบบที่พูดและคาดการณ์ไว้แล้วนะ และอนาคตองค์นี้ ต้องพุ่งทะลุ 10 ล้านบาทขึ้นไปอย่างแน่นอนครับ สภาพพิมพ์เป็นพระสมเด็จสวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 4 เกศทะลุซุ้ม พิมพ์ทรงถือว่าถูกต้องครบทุกจุด พื้นผิวมีเม็ดมวลสารหรือจะเรียกว่า (เม็ดพระธาตุ) ลอยขึ้นบนพื้นผิวอยู่ 2-3 เม็ด และเซียนบางกลุ่มจะยึดถือ “เม็ดพระธาตุ” ที่เป็นก้อน ๆ และลอยให้เห็นเพราะจะถือว่าเป็นพระ ที่ดูง่าย ส่วนด้านหลังเป็นหลังเรียบ มีรอยปริแตกตามขอบเล็กน้อย และมีเม็ดพระธาตุลอยขึ้นมาให้เห็นแบบไม่ชัดเจนนัก 1-2 เม็ด คุณโสภณ เปิดราคาเพียง 4,500,000 บาท ก็ถือว่ายังถูกมากราคายังไปได้อีก องค์นี้พอลงหมวดตอบจดหมายแล้วคงไม่ช้าหรอก เดี๋ยวคนซื้อคนขายคนก่อน ๆ ก็พูดต่อ ๆ ไป เดี๋ยวมือซื้อที่มีกำลังก็คงต้องรีบมาปิด เพราะพระซื้อขายผ่านมาหลายมือแล้ว ราคาแค่หลักล้านกลาง ๆ แค่ 4,500,000 บาท ต่อยังไงก็จบ และน่าจะจบเร็วด้วย องค์นี้ใครไวกว่าเจรจาก่อน ก็มีสิทธิ์จบเร็ว เพราะเจ้าของเป็นพระและมองดูแล้วอนาคตพุ่งเกิน 10 ล้านบาทแน่นอนครับ พระนางพญาพิษณุโลก พิมพ์เข่าโค้ง องค์ที่ 2 พระนางพญาพิษณุโลก 1 ในเบญจภาคีชุดใหญ่ นางพญาองค์นี้เป็นพิมพ์เข่าโค้งและเป็นเนื้อเขียวซึ่งจะหายากมาก ๆ และองค์นี้มีคราบแดง ๆ ตามซอก เป็นพระเดิม ๆ ไม่ได้ใช้จึงทำให้พระแห้งแกร่ง และการตัดปีกข้างก็ตัดได้ฉากสามเหลี่ยมพอดีทั้งสองข้าง มีตำหนิจุดหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามขององค์นี้ชัดเจนดี ก็คือ แขนซ้ายท่อนบนให้ดูกึ่งกลางแขนซ้ายพระจะแลดูแอ่นเข้าหาลำตัวพระเล็กน้อย พิมพ์ทรงจุดอื่น ๆ ก็ถูกต้องครบถ้วน ส่วนเนื้อหาพระนางพญาองค์นี้จะออกเขียว มีคราบดินแดง ๆ ปกคลุมอยู่เล็กน้อย เนื้อพระองค์นี้แลดูแข็งแกร่งมาก ส่วนด้านหลังก็เรียบร้อยดี พื้นผิวโดยทั่วมีการหดตัว ทำให้พื้นผิวของนางพญาองค์นี้มีรอยยับและเป็นหลุม, เป็นแอ่งเล็ก, ตลอดทั่วพื้นผิวสลับไปสลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ คุณโสภณ เปิดราคานางพญาพิมพ์เข่าโค้งไว้ที่ 2,500,000 บาท ก็ยังถือว่าไม่แพง ราคานี้ยังไปได้อีก 3-4 ล้านบาท คือยังเปิดช่องให้เจ้าของคนต่อไป ไปต่อได้อย่างสบาย ๆ ครับ พระกำแพงลีลาพลูจีบ เนื้อดิน จังหวัดกำแพงเพชร องค์ที่ 3 พระกำแพงลีลาพลูจีบ เป็นพระอีกชนิดหนึ่งซึ่งจะหายไปจากวงการพระไปแล้ว เพราะไม่ค่อยมีคนส่งมา และไม่ค่อยมีคนพูดถึง แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน พระลีลาพลูจีบเป็นพระที่ได้รับความนิยมมาก ๆ เพราะพุทธคุณพระลีลาพลูจีบจะเน้นไปทางมหานิยมและเมตตามหาเสน่ห์ก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่าใครเลย ส่วนพุทธศิลป์จะเป็นการแกะแม่พิมพ์แบบตื้น ๆ ทรวดทรงยาว ๆ หัวเล็กล่างกว้างกว่าลักษณะเขย่ง เหมือนกำลังจะเหาะขึ้น คุณโสภณได้ส่งภาพลีลาพลูจีบองค์นี้มาก็ถือว่า กลาง ๆ ไม่ได้สวยมาก แต่ดีตรงที่ผิวเดิม ๆ ไม่ได้ล้างทำความสะอาดพื้นผิวจึงเห็นคราบรารักกระจายอยู่ทั่วพื้นผิว พิมพ์ทรงถูกต้อง แค่ตื้นไปหน่อยเท่านั้นส่วนด้านหลังมีรอยกดย้ำ ๆ จึงเห็นลายมือกดเล็กน้อย ส่วนพื้นผิวก็จะคล้ายกับด้านหน้าคือมีคราบรารักกระจายอยู่ทั่ว คุณโสภณเปิดราคากำแพงลีลาพลูจีบไว้ที่ 1,500,000 บาท ก็ถือว่าไม่แพงและหายากมาก ในเวลานี้ใครสนใจบุกได้เลยครับ พระรอดมหาวัน พิมพ์ตื้น จังหวัดลำพูน องค์ที่ 4 คุณโสภณดูพระรอดองค์นี้เป็นพิมพ์ตื้นก็ถือว่าถูกต้องแล้ว พระรอดพิมพ์ตื้นจะมีเส้นบล็อคแตกเส้นใหญ่ 2 ฝั่ง ฝั่งซ้ายมือพระตรงข้างแขน จะมีเส้นแตกบิดเป็นเกลียวตั้งแต่แนวข้างหูซ้ายพระทิ้งตรงลงมาถึงเข่าซ้ายพระ ส่วนฝั่งขวามือพระจะเป็นบริเวณข้างหูด้านขวาพระ แต่จะชิดไปทางกลุ่มโพธิ์ จะมีเส้นแตกเริ่มจากบริเวณแนวหน้าผากพระลากเฉียงลงมาเอียงเข้าหากลุ่มโพธิ์ ส่วนการแกะแม่พิมพ์จะแกะแม่พิมพ์ค่อนข้างตื้น ๆ ทั้งองค์ ทั้งตัวองค์พระ, ฐานพระ, และกลุ่มโพธิ์ทั้ง 2 ข้าง ส่วนตำหนิที่เห็นชัดสำหรับพระรอดพิมพ์ตื้นองค์นี้ ที่ยังเห็นได้ชัดก็มีตรงหัวเข่าขวาพระใกล้กลับมือขวาพระให้ดูปลายนิ้วหัวแม่มือจะเห็นหัวเข่าพระจะคล้ายปลายสามง่าม ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่จะไม่ค่อยสึกเพราะจุดนี้จะอยู่ต่ำกว่าจุดอื่น ๆ ก็สึกหมดแล้ว แต่ดูภาพรวมแล้วก็เป็นพระรอดพิมพ์ตื้นที่แท้แค่สภาพสึกเท่านั้น ส่วนด้านหลัง พื้นหลังส่วนใหญ่สึกเรียบ เห็นร่องรอยการกดพื้นสูง ๆ ต่ำ ๆ เป็นแอ่ง แค่นั้น ส่วนสภาพแบบนี้ปกติก็ไม่ได้หาเจอง่าย ๆ นะครับ แค่หาเจอแท้แบบนี้ ถ้าเอาไว้ใช้ก็เยี่ยมแล้วครับ คุณโสภณเปิดราคาพระรอดพิมพ์ตื้นที่ 1,500,000 บาท ก็ถือว่าราคากลาง ๆ เมื่อเทียบกับสภาพพระสึกก็ถือว่ารับได้ แต่ถ้าจะเอาสวยมีหน้ามีตาก็ต้องว่ากันเป็น 10 ล้านบาทขึ้นอยู่แล้ว และจะหาใครปล่อยล่ะก็ไม่มี ส่วนใหญ่สวยแชมป์ก็ถูกเสนอเข้ารังหมดครับ พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า พิมพ์แขนหักศอก องค์ที่ 5 เมื่อก่อนตอนผู้เขียนเล่นพระใหม่ ๆ ก็ประมาณ 30 ปีที่แล้ว พวกพระชุดเล็กก็คือ ตระกูลพระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าจะเป็นพิมพ์แขนหักศอก หรือพิมพ์แขนกลมจะมีให้เลือกเยอะมาก ราคาก็แค่หลักร้อยบางองค์สวยหน่อยก็ขึ้นถึงหลักพันต้น ๆ แค่นั้นเอง ปัจจุบันพระชุดเล็กได้หายไปจากวงการสักระยะหนึ่งแล้ว เป็นเพราะพระมีขนาดเล็กเก็บรักษายาก อาจทำหล่นหายไปบ้าง ปัจจุบันราคาจึงพุ่งขึ้นถึงหลักหมื่นกลาง คือ 4-6 หมื่น หมายถึงสภาพสวยนะ ส่วนผู้เขียนก็ตามหาพิจิตรเขี้ยวงูมานานหลายปีแล้ว พอดีหมวดตอบจดหมายรอบนี้มีเข้ามา 1 องค์ของคุณพิชิตก็ต่อรองแล้วเหลือ 40,000 บาท เป็นพิจิตรเขี้ยวงู เนื้อชินเงิน สภาพสวยขั้นเทพเลยครับ สมกับการรอคอยครับ ส่วนพระพิจิตรแขนหักศอกองค์นี้ก็ถือว่าเป็นพระระดับแชมป์เรียกพี่เลยทีเดียวครับ สภาพพิมพ์เป็นพระชุดเล็กที่เทพิมพ์ออกมาได้เต็มพิมพ์ดีมากเลยทีเดียว เป็นพระเนื้อชินเงิน พื้นผิวพระเป็นผิวพระที่แห้งสนิทตามซอกตามแอ่งที่ลึกมีคราบความเก่าและมีคราบดินบาง ๆ สลับไปสลับมา พิมพ์ทรงติดลึกคมชัดทุกสัดส่วน ด้านหลังเป็นลายผ้าตาราง ตามขอบมีรอยปริแตกบ้างเล็กน้อยเนื่องจากผ่านเวลามาอย่างยาวนาน 600 กว่าปี สภาพแบบนี้ก็สุดยอดของพระชุดเล็กแล้ว คุณโสภณ เปิดราคาที่ 55,000 บาท จริง ๆ ราคาสูงไปนิด แต่ถ้าดูสภาพพระแล้วสวยมากขนาดนี้ก็สมราคาแล้ว ต่อรองเล็กน้อยก็น่าจะจบครับ
ช้าง–วัดห้วย 082-5699162 ID Line Changwathuay หมวดตอบจดหมาย เรียน อ.ช้าง–วัดห้วย ผมเอก เมืองเพชรครับ และผมต้องขอขอบคุณ อ.ช้าง ที่คราวก่อนช่วยอุดหนุนแม่นางกวักเนื้อแร่บางไผ่ไปในราคา 45,000 บาท และผมได้ข่าวมาว่า อ.ช้าง จะหยุดตอบหมวดตอบจดหมายแล้วหรือครับ คือผมได้ยินพวกเล่นพระพูดถึง อ.ช้าง ว่าจะหยุดแล้ว ผมเลยปรึกษากับครอบครัวที่บ้านว่าจะรวบรวมส่งมาให้ อ.ช้าง ช่วยลงให้อีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว พระที่นำมาลงมีทั้งของพ่อผมเอง และพระของพ่อตาของผม เลือกเอาเฉพาะสวย ๆ มาฝากลงด้วยครับ องค์ที่ 1 พระกำแพงเขย่งหรือลีลาเม็ดขนุนองค์นี้สวยสุดของพ่อผมเลย เมื่อครั้งก่อนก็สอบถามแล้วก็ไม่ปล่อย แต่มาครั้งนี้ก็คงกลัวว่า อ.ช้าง จะหยุดตอบจดหมายแล้วก็เลยยอมมาลง แล้วบอกให้รีบไปถ่ายรูป ตอนแรกตั้งใจจะเปิดราคาที่ 4-5 ล้านบาท แต่เห็น อ.ช้าง ตอบจดหมายก็พูดอยู่เรื่อยว่าอย่าเปิดแพงเลยเปิดราคาที่ 1,450,000 บาท องค์ที่ 2 พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย มีขี้กรุบ้างนิดหน่อย แต่ยังมองพิมพ์ได้ชัดเจน เปิดราคาที่ 950,000 บาท องค์ที่ 3 ปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พิมพ์เล็ก ปิดตาองค์นี้เป็นของพ่อตาผม เปิดราคาไว้ที่ 650,000 บาท องค์ที่ 4 พระสุพรรณยอดโถ เนื้อชินเงินองค์นี้ขอแบ่งจากเพื่อนที่อยู่สุพรรณ รอเค้ามาปีกว่าก่อนเค้าจะแบ่งให้ เปิดราคาที่ 145,000 บาท องค์ที่ 5 พระหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก รุ่น 1 พระบ้าน อ.ช้าง ผมเลยไลน์ไปสอบถาม อ.ช้าง ก็ว่าแท้ ก็เลยส่งมาปิดท้ายเป็นองค์ที่ 5 เปิดราคาที่ 95,000 บาท รวมทั้งหมด 5 องค์ ครั้งนี้ผมขออนุญาตส่งลง 5 องค์ครับ ขอบคุณครับ
ขอแสดงความนับถือ คุณเอก เมืองเพชร
ตอบ คุณเอก เมืองเพชร พระกำแพงลีลาเม็ดขนุน เนื้อเขียว จังหวัดกำแพงเพชร ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เรื่องจะหยุดเขียนหมวดตอบจดหมายก็มีคิด ๆ ไว้บ้าง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ประมาณอีก 4-5 ปีโน้นถึงจะหยุด และจะบอกก่อนเนิ่น ๆ จะได้ทำใจ มีอะไรอยากถามอยากส่งให้ลงก็ส่งมาได้เลย จะส่งทางไลน์ จะเขียนสั้น ๆ ก็ได้ หรือจะส่งเป็นจดหมายก็ได้อีกครับ ส่วนจะลง 4 องค์หรือ 5 องค์ก็ได้ ไม่ว่ากันครับ องค์ที่ 1 พระกำแพงลีลาเม็ดขนุน องค์นี้ถือว่าสวยแชมป์เลยครับ องค์นี้เป็นของคุณพ่อคุณเอก เมืองเพชร เปิดราคาที่ 1,450,000 บาท ตอนแรกว่าจะเปิดราคา 4-5 ล้านบาท แค่ล้านกว่าที่เปิดอยู่นี่ลูกค้าของ ช้าง–วัดห้วย ก็ร้องจ๊ากแล้วครับ แต่เรื่องสวยแชมป์ก็ไม่ต้องพูดถึง สวยโคตรแชมป์ จริง ๆ เริ่มตั้งแต่ส่วนหัวพระหรือใบหน้าพระ ก็กดพิมพ์ติดได้ชัดเจนทั้งหมดตั้งแต่ตา, จมูก, ปาก, กระจังหน้า, ใบหู ส่วนลำตัวก็ติดชัดเจนได้สัดส่วนดี ส่วนตำหนิในร่องเกลียวเชือกคือร่องรอยลำตัวพระก็ติดชัดเจนแต่จุดที่ต้องดูจะมี 2 จุดที่สำคัญ และถือเป็นตำหนิพระจุดแรก ตรงหัวไหล่ขวาพระ จุดนี้ตรงนี้จะติดราง ๆ ส่วนอีกจุดประมาณแนวหน้าอกพระต่ำลงมาจากจุดเดิมเล็กน้อย แต่จุดนี้ติดค่อนข้างชัดเจน ส่วนมือขวาพระที่แนบน่องพระนิ้วโป้ง (หัวแม่มือ) จะติดชัดเจนมาก ส่วนอีก 4 นิ้วจะติดราง ๆ พอมองเห็น ส่วนเนื้อเกินหน้าหลังเท้าพระปกติจะติดเป็นก้อนรูปสามเหลี่ยม (ถ้าติดชัดเจน) ไม่ใช่กลมบล็อก กรณีติดไม่ชัดเจนจะติดขึ้นมาเป็นเนินกลมตื้น ๆ คล้ายทรงกลม บางท่านเลยคิดว่า จะขึ้นมาเป็นทรงกลม แต่จริง ๆ ถ้าติดชัดเต็มที่จะขึ้นมาเป็นทรงสามเหลี่ยม ผู้เขียนเห็นมาหลายองค์แล้ว สภาพโดยรวมถือว่าเป็นพระสวยระดับโคตรแชมป์เลย และแถมเป็นพระเนื้อเขียวอีกต่างหาก ซึ่งสวยขนาดนี้ก็หายากมากแล้ว และเป็นเนื้อเขียวยิ่งหายากเข้าไปอีก ถือว่าเป็นพระแชมป์องค์หนึ่งของวงการเลยทีเดียว คุณเอก เมืองเพชร เปิดราคาที่ 1,450,000 บาท ก็ถือว่าเป็นราคากลาง ๆ ไม่แพงมาก เพราะมองดูแล้วยังไปได้อีกหลายล้าน องค์นี้ใครได้ไปต้องส่งทำตลับเพชรสถานเดียวถึงจะคู่ควรครับ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย องค์ที่ 2 พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย ถ้าพูดถึงความนิยมก็จะเป็นรองแค่พิมพ์ใหญ่แค่พิมพ์เดียว โดยความนิยมและราคาจะเน้นจากชื่อพระเป็นหลักคือ “ใหญ่ ด้าย (ได้) ดี” ก็คือบางขุนพรหมอันดับ 1 คือ พิมพ์ใหญ่, พิมพ์เส้นด้าย และพิมพ์เจดีย์ พิมพ์เส้นด้ายจริง ๆ แบ่งแยกกันถึง 7 แม่พิมพ์เลยทีเดียว แต่ละพิมพ์จะแตกต่างเพียงเล็กน้อย เช่น การวางแขน, เกศพระ, อกพระ, หูพระ นอกนั้นจะคล้าย ๆ กัน แต่เราเป็นคนธรรมดา เราไม่ใช่เซียน ไม่ต้องจดจำเยอะขนาดนั้นหรอก ให้ดูและจดจำจากพิมพ์ใหญ่จะวัดระฆังหรือบางขุนพรหมก็ได้ ให้เป็นแม่แบบการดูเส้นด้ายก็จะคล้าย ๆ พิมพ์ใหญ่ เพียงแต่เส้นสายลายพิมพ์ต่าง ๆ ของเส้นด้ายจะบางกว่า คมกว่า ก็เท่านั้นเองครับ สำหรับเส้นด้ายบางขุนพรหมองค์นี้ จัดว่าเป็นพระแท้ดูง่าย มีเสน่ห์ มีคราบกรุบาง ๆ ไม่ได้เก็บความสะอาด แบบนี้แหละดีมากเลย พิมพ์ทรงถือว่าเป๊ะทุกตำแหน่ง ด้านหลังก็เป็นแบบหลังเรียบมีรอยปูไต่อยู่หลายเส้น ถือว่าเป็นหลังสวยและดูง่าย คุณเอก เปิดราคาที่ 950,000 บาท ก็ถือว่ายังถูกมาก ยังไปต่อได้อีกหลายล้านครับ พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พิมพ์เล็กหลังเรียบ องค์ที่ 3 พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พิมพ์เล็ก เนื้อผงคลุกรัก ลงรักปิดทององค์นี้อยู่ในเกณฑ์สวยสมบูรณ์มาก คุณเอก เมืองเพชร ส่งมารอบนี้ คัดมาแต่หัวกะทิทั้งนั้น ทั้งของพ่อตัวเอง และของพ่อตา ถือว่าสวยเยี่ยมทุกองค์ นี่แค่องค์ที่ 3 ยังเหลืออีก 2 องค์ก็สวยไม่แพ้ใคร สภาพพิมพ์ หลวงพ่อแก้ว พิมพ์เล็กองค์นี้ พิมพ์ทรงค่อนข้างสวยสมบูรณ์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เนื่องจากสภาพพระได้ลงรักปิดทองเคลือบปิดทั้งองค์ สภาพพระจึงค่อนข้างสมบูรณ์ สภาพพระแบบนี้ ผู้เขียนจะชอบมาก แต่พวกเซียนนกลับจะชอบแบบเห็นเนื้อบ้างจะได้เห็นชัดเจนว่าเป็นเนื้อผงคลุกรักจริงหรือเปล่า? ซึ่งเซียนบางคนจึงต้องขอสะกิดเนื้อพระดูกันเลยก็มี ถ้าจะสะกิดเนื้อให้สะกิดมุมล่างนิดเดียวก็พอ ไม่ใช่สะกิดด้านหน้า จะทำให้พระเสียหาย เสียราคาได้กรณีตกลงไม่จบ แต่ดูจากสภาพแล้วก็น่าจะเป็นเนื้อผงคลุกรัก สภาพแบบนี้ก็ถือว่าสวยสมบูรณ์แล้ว คุณเอกเปิดราคาที่ 650,000 บาท ก็ถือว่า เป็นราคากลาง ๆ ไม่แพงโดดครับ ใครสนใจก็ต่อรองได้เลย พระสุพรรณยอดโถ เนื้อชินเงิน จังหวัดสุพรรณบุรี องค์ที่ 4 พระสุพรรณยอดโถ หรือพระสุพรรณเนื้อชินหรือจะเรียกว่า ชินสังฆวานร เป็นพระร่วมกรุเดียวกันกับพระผงสุพรรณ เนื้อดิน 1 ในเบญจภาคีชุดใหญ่ พระสุพรรณยอดโถได้พบอยู่ในผอบที่วางอยู่ส่วนบนของยอดองค์พระปรางค์ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ปัจจุบันพระสุพรรณยอดโถเริ่มหายากแล้วไม่ค่อยพบเจอ เมื่อก่อนพระผงสุพรรณเนื้อดินราคาอยู่แค่หลักแสนต้น ๆ หรือหลักแสนกลาง ก็ไม่มีใครสนใจพระสุพรรณยอดโถเลย พอพระผงสุพรรณเนื้อดินขึ้นหลักล้านหรือหลาย ๆ ล้าน คนก็เริ่มหาพระสุพรรณยอดโถมาใส่แทนก็แล้วกัน แล้วมันมีที่ไหนล่ะ ถึงมีราคาก็ดีดตามเนื้อดินขึ้นไปเป็นหลักแสน ปัจจุบันไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว เพิ่งมีของคุณเอก เมืองเพชร ส่งมานี่แหละ คุณเอก และครอบครัว เก็บพระดี ๆ ไว้หลายชิ้น เรียกว่า ชั้นยอด เมื่อก่อนผู้เขียนก็แลกพระให้ลูกค้าไป 1 องค์เป็นพระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พิมพ์ใหญ่หลังแบบ สภาพพอสวย สึกนิดหน่อย แต่ดูง่ายดี มาคราวนี้มีหลายองค์และสุพรรณยอดโถด้วย เมื่อเดือนก่อนคุณเอกผ่านนครปฐมก็เลยแวะมาคุย ก็เลยเอาพระสุพรรณยอดโถมาแห่ พอยื่นพระมาผมก็บอกเลยว่าแท้ โดยไม่ต้องส่องกล้องเลย คือเป็นพระที่ดูง่ายมาก ๆ ผมเลยสอบถามว่า พระสุพรรณยอดโถ องค์นี้เปิดราคาไว้เท่าไหร่ คุณเอกก็กะราคาไม่ถูกก็เปิดไปก่อน 65,000 บาท คุณเอกบอกถ้า อ.ช้าง ขายได้ก็ขายเลยจะใช้เงินอยู่พอดี ผู้เขียนก็เสนอลูกค้าไป 2-3 ราย แต่ก็ไม่จบ คือจะต่อถูกแค่ 3 หมื่น เลยโทรบอกว่าไม่จบคนซื้อจะซื้อถูก แต่มาคราวนี้ถ่ายรูปซะสวยงามเลย และเปิดราคาใหม่ที่ 145,000 บาท ผมก็บอกว่าเปิดได้ทุกราคา แล้วแต่สะดวกเลย ถ้าคนจะเอาแพงหน่อยเค้าก็เอา แต่ถ้าคนไม่เอาถูก ๆ เค้าก็ไม่เอา สภาพพิมพ์เป็นพระสุพรรณยอดโถที่สวยงามมาก คราวก่อนถ่ายรูปบนมือก็ว่าสวยงามมากแล้ว แต่มาคราวนี้ถ่ายรูปที่ร้านก็สวยแจ่มมากเลย ผู้เขียนต้องขอบอกก่อนให้ทุกท่านเข้าใจก่อนว่า พระสุพรรณยอดโถเวลาเทพิมพ์ออกมา ความคมชัดของพระจะไม่ชัดเท่าพิมพ์พระเนื้อดิน จุดตำหนิต่าง ๆ จะไม่คมชัดเท่าเนื้อดิน แต่ตำหนิติดครบทุกจุดเหมือนเนื้อดินทุกประการ งั้นลองบอกไป 1 จุดแล้วกัน คือข้างแก้มขวาพระจะมีเส้นแตกเป็นตัว “วี” เป็นมุมแหลมทิ่มเข้าแก้มขวาพระ จุดนี้ลองไปดูในพิมพ์เนื้อดินจะชัดมาก แต่เนื้อชินจะเห็นแค่ราง ๆ เท่านั้น สรุปคุณเอก เมืองเพชร เปิดราคาที่ 145,000 บาท ก็ถือว่าเป็นราคากลาง ๆ ไม่แพง ราคาตอนนี้วิ่งไปหลายแสนแล้ว ใครจะเอาก็ต้องรีบนะ เพราะของสวยราคาแค่แสนกว่าไม่ค่อยเจอแล้ว นาน ๆ จะผ่านมาสักองค์อย่าให้พลาดล่ะ พระหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก รุ่น 1 เนื้อทองแดง องค์ที่ 5 พระหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก รุ่น 1 เนื้อทองแดง เป็นเหรียญหล่อมหาอุดหยุดลูกปืนอันดับ 1 ของจังหวัดนครปฐมเลยทีเดียว เหรียญหล่อหลวงพ่อทา รุ่น 1 เป็นเหรียญหล่อโบราณ เนื้อทองแดง ลักษณะเป็นพิมพระพุธนั่งขัดสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว ด้านบนของเหรียญมีกลุ่มโพธิ์ปกคลุมอยู่ เป็นเหรียญหล่อโบราณที่เก่าที่สุดและเป็นเหรียญที่มีประสบการณ์มากมาย และเป็นเหรียญที่สร้างชื่อเสียงให้กับหลวงพ่อทามากที่สุด เหรียญหลวงพ่อทานี้ พุทธคุณจะเน้นที่แคล้วคลาด, คงกระพัน และมหาอุดหยุดลูกปืน เป็นที่ประจักษ์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว สำหรับเหรียญหลวงพ่อทารุ่น 1 นี้ เป็นเหรียญหล่อโบราณและหล่อพิมพ์ออกมาได้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นองค์พระพุทธ, ซุ้มครอบแก้ว หรือกลุ่มโพธิ์ล้วนแต่หล่อได้ประณีตมาก ไม่มีเนื้อเกินเลย ส่วนตำหนิต่าง ๆ ที่ต้องพิจารณาก็ติดครบทุกจุด ส่วนด้านหลังหลวงพ่อทาจารให้เป็นพิเศษอีก 1 ตัว คือตัว “สระอิ” เรียกง่าย ๆ อ่านแล้วเข้าใจ ตรงกลางระหว่างตัวบนกับตัวล่าง จารลักษณะนี้ก็มีไม่กี่องค์คือมีน้อยนั่นเอง พื้นผิวเหรียญโดยทั่วไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีคราบความเก่ากระดำกระด่างกระจายอยู่โดยทั่วแบบเป็นธรรมชาติ จัดว่าเป็นเหรียญที่สวยงามมากเหรียญหนึ่งเลยทีเดียว คุณเอก เมืองเพชร เปิดราคาสุดถูกเลยเพียง 95,000 บาท ถือว่าถูกมาก ถ้าเปิดเป็นแสนก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ เพราะสภาพแบบนี้ราคาวิ่งไปหลาย ๆ แสนแล้วครับ และราคานี้น่าจะปิดจบได้ไม่ยากครับ ใครไวใครได้แล้วกันครับ
ช้าง–วัดห้วย 082-5699162 ID Line Changwathuay
หมวดรวมพระเบญจภาคีทุกประเภท
หมวดนี้จะเป็นหมวดสุดท้ายของช้างวัดห้วย ซึ่งผู้เขียนก็อายุมากขึ้นทุกวัน ก็เลยจะเขียนหมวดรวมเบญจภาคีเป็นหมวดสุดท้ายก็จะเขียนรอบละ 1 อย่าง ๆ ละ 5 องค์ ทุก 2-3 เดือน/1 ครั้ง รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 1 ปี ก็คงจบ หลังจากนั้นก็คงเหลือแต่เฉพาะตอบจดหมายทั้งแบบธรรมดาและเกรดพรีเมี่ยมที่ยังจะเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จนหมดแรงนั่นแหละ ก็คงจะเลิกแล้ว ส่วนตอนนี้เราจะอธิบายว่าแต่ละอย่างเราจะลงอะไรไว้บ้าง ก็คือพระที่เราจะนำมาลงก็จะเป็นพระของช้าง–วัดห้วย ทั้งหมด โดยจะคัดพระองค์ที่สวยสุด ดูง่ายที่สุด และมาตรฐานที่สุดมาลงในหมวดนี้ โดยจะเขียนอธิบายเล็กน้อยและได้มาอย่างไร ราคาตอนนั้นเท่าไร โดยจะเริ่มจาก 1. พระเบญจภาคี เครื่องราง - ตะกรุดโสฬสมงคล ขนาด 3.5 นิ้ว เนื้อเงิน - เขี้ยวเสือแกะ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย พิมพ์อ้าปาก (ยิงฟัน) - หนุมาน หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุล (องค์จอมทัพ) - ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง - เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง กรุงเทพฯ (เบี้ยทองมะเฟือง) 2. พระเบญจภาคี พระปิดตาเนื้อผง - พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ พิมพ์ใหญ่หลังแบบ - พระปิดตา หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง - พระปิดตา หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน - พระปิดตา หลวงปู่จีน วัดท่าลาด - พระปิดตา หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว 3. พระเบญจภาคี พระปิดตาเนื้อโลหะ - พระปิดตา หลวงพ่อทับ วัดทอง พิมพ์ยันต์น่อง - พระปิดตา หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง พิมพ์ยันต์ยุ่ง - พระปิดตา หลวงปู่จัน วัดโมลี แร่บางไผ่ - พระปิดตา หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ พิมพ์หูกระต่าย 4. พระเบญจภาคี ชุดใหญ่ - พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 “องค์บารมี” - พระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์ใหญ่ข้างกนก กรุฤๅษี (องค์บุญปลื้ม) - พระนางพญาพิษณุโลก พิมพ์เข่าโค้ง - พระรอดมหาวันพิมพ์ใหญ่ (องค์เนื้อเขียวจากเชียงราย) - พระผงสุพรรณพิมพ์หน้าแก่ (องค์เนื้อเขียว) ตะกรุดโสฬสมงคล หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง จังหวัดนนทบุรี ตะกรุดโสฬสมงคล หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ขนาด 3.5” เนื้อเงิน จังหวัดนนทบุรี ตะกรุดโสฬสมงคล หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง จังหวัดนนทบุรี ได้รับความนิยมและได้รับเกียรติและถูกยกย่องให้เป็นตะกรุดอันดับ 1 ของตะกรุดทั้งปวง และได้จัดเป็นเครื่องรางอันดับ 1 ที่มีคุณวิเศษยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน ราคาเช่าสูงสุดถึงหลักล้าน และหลักหลาย ๆ ล้านในอนาคตนี้ ตะกรุดโสฬสมงคล หลวงปู่เอี่ยม นั้น มีขั้นตอนการจัดสร้างดังนี้ เริ่มจากหลวงปู่เอี่ยมนำแผ่นตะกรุดมาลงอักขระ “ยันต์โสฬสมงคล” ไว้ด้านในตะกรุด ส่วนด้านนอกจะลง “ยันต์ ไตรสรณคมน์” เสร็จแล้วก็ม้วนตะกรุดแล้วถักเชือก เสร็จแล้วนำตะกรุดไปพอกผงพุทธคุณโดยนำตะกรุดไปคลึงกับผงพุทธคุณ แล้วไปจุ่มรักอีกที เป็นอันเสร็จขั้นตอนทำตะกรุด ด้วยพลังอานุภาพคุณวิเศษของยันต์ต่าง ๆ กับหลวงปู่เอี่ยม ท่านได้บรรจุพุทธาคมทำให้ตะกรุดโสฬสนั้น เปี่ยมไปด้วยพลานุภาพ เข้มขลังดีพร้อมในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางด้านมหาอุด คงกระพัน และป้องกันคุณไสย, ป้องกันภูตผี ปีศาจ ถ้าบูชาไว้ในบ้าน จะป้องกันไฟได้อีกด้วย และหลวงปู่เอี่ยมได้ฝากข้อความถึงลูกศิษย์ท่านไว้ว่า “ถ้าหากมีเหตุทุกข์ร้อนเกิดขึ้น ให้ระลึกถึงชื่อท่าน” หลวงปู่เอี่ยมได้สร้างตะกรุดตั้งแต่ยุคแรก ประมาณปี พ.ศ. 2397-2430 โดยสร้างพร้อมกับพระปิดตาเนื้อผงคลุกรัก เพื่อหาทุนสร้างวิหารและสร้างเจดีย์โดยมีบันทึกบอกไว้ว่า “ตะกรุด 1 ดอก ให้บูชาดอกละ 1 ตำลึง” หรือใครทำบุญบริจาคด้วยหิน, ดิน, ทราย 1 ลำเรือก็จะได้รับตะกรุด 1 ดอก ตะกรุดสาริกาโสฬสมงคล ขนาด 1.5” ตะกรุดโสฬสมงคลสร้างด้วยเนื้อทองแดง และเนื้อตะกั่ว ส่วนเนื้อเงินจะมีน้อย ส่วนความยาวตะกรุดที่พบมากที่สุดก็คือ 3.5 นิ้ว ถือเป็นมาตรฐาน และยาวสุดไม่เกิน 4” ส่วนดอกสั้นสุดเรียกว่าตะกรุดสาริกา ขนาดยาว 1.5” ไว้แจกเด็กและสตรี ส่วนวิธีม้วนตะกรุดขนาด 3.5”-4” จะม้วนตะกรุดประมาณ 7-8 รอบโดยประมาณ ขนาดจะใหญ่ประมาณกับมวนบุหรี่ ส่วนตะกรุดสาริกา ขนาด 1.5” จะม้วนตะกรุดประมาณ 3-4 รอบโดยประมาณ แล้วถักเชือกเป็นลายเกลียวโดยให้ปลายตะกรุดมีหัวตะกรุดโผล่ออกมา (ซึ่งต่อมาจะเรียกว่าก้นแมงสาบ) ส่วนตะกรุดโสฬสมงคล ขนาด 3.5” เนื้อเงินดอกนี้ เมื่อก่อนเจ้าของเดิมคือคุณคมสัน ก็อยู่ในหมวดตอบจดหมายนี่แหละ เกิดไปชอบพระปิดตาวัดสะพานสูง พิมพ์ชะลูดถักเชือกลงรัก ปิดทองของคนอยู่แม่กลอง ก็แลกกันตัวต่อตัว ภายหลังผู้เขียนก็โทรไปสอบถามปิดตาสะพานสูง คุณคมสันก็แลกของต่อไปอีกทีเลยตามตัวไม่เจอแล้ว ส่วนเจ้าของตะกรุดสะพานสูงเนื้อเงินยาว 3.5 นิ้ว ดอกนี้ เกิดอยากได้พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้ายของผู้เขียน ผู้เขียนก็บอกให้เอาตะกรุดสะพานสูงเนื้อเงินมาแลกแล้วเพิ่มเงินให้ผู้เขียนอีก 1 แสนบาท ต่อไปต่อมาเหลือ 5 หมื่นบาท เป็นอันตกลง สภาพตะกรุดโสฬสมงคล เนื้อเงินดอกนี้ ก็ยังถือว่าสวยสมบูรณ์ ขนาดมาตรฐาน 3.5” แถมเป็นตะกรุดเนื้อเงินอีกด้วย ซึ่งหายากมาก ๆ ในวงการพบเจอไม่เกิน 5 ดอกแค่นั้น ตะกรุดดอกนี้ถือว่ายังสวยสมบูรณ์ ตรงปลายตะกรุดเนื้อเงินยังเห็นรอยจารโผล่แลบออกครึ่งตัวอักขระ (ลองถ่างขยายใหญ่ดู) จะเห็นได้ชัดเจน ตะกรุดดอกนี้ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของผู้เขียนอย่างยิ่ง ถ้าจะเล่นต้องเล่นให้สุด ส่วนเนื้อทองแดงผู้เขียนมีเก็บไว้ 4 ดอก ยาว 3.5” ทั้งหมด เอาแต่ขนาดมาตรฐานทั้งสิ้นครับ ส่วนตะกรุดสาริกาโสฬสมงคลดอกนี้ยาว 1.5” เนื้อทองแดงดอกนี้ได้จากชาวบ้าน ซื้อบนคอเจ้าของเดิมเลย เดิมเลี่ยมพลาสติกทำเป็นสามห่วงไว้ตรงกลางด้านล่างห้อยพระกรุ 1 องค์ ผู้เขียนเห็นแล้วชอบเลยขอแบ่งมาในราคา 8 หมื่นบาท แล้วให้ค่านำพาไปอีก 1 หมื่นบาท สภาพตะกรุดสาริกา เมื่อแกะพลาสติกออกมาแล้ว ตะกรุดค่อนข้างสวยสมบูรณ์ สภาพโดยทั่วไปก็คล้ายดอก 3.5” คือ ม้วนตะกรุดพันประมาณ 3-4 รอบ ถักเชือกให้ปลายตะกรุดโผล่ออกมาข้างละเล็กน้อย ถือว่าเป็นตะกรุดสาริกาที่หายากมาก ๆ ในปัจจุบันครับ ----------------- เสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย (วัดมงคลโคธาวาส) จังหวัดสมุทรปราการ เสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ท่านเป็นพระอาจารย์สอนทางด้านวิปัสสนาที่มีชื่อเสียง และเป็นที่นับถือมากที่สุดสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้สร้างเครื่องรางประเภท “เขี้ยวเสือแกะ” เป็นรูปเสือนั่งที่มีผู้คนต้องการไขว่คว้ามาครอบครอง และมีราคาสูงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และเขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน ยังจัดอยู่ในชุดเบญจภาคีเครื่องราง ที่มีราคาสูงสุดในขณะนี้ เสือหลวงพ่อปาน ถือเป็นอันดับ 1 ของเครื่องราง และมีคุณวิเศษทางด้าน “มหาอำนาจ, บารมี” หลวงพ่อปานท่านปลุกเสกด้วยคาถาหัวใจพญาเสือโคร่ง เหมาะสำหรับผู้ต้องการเป็น “ผู้นำ, อำนาจ, และบารมี” และมีสง่าราศีและยังเลิศล้ำ สุดยอดทางคุ้มครองป้องกันและแคล้วคลาด คงกระพัน ตลอดจนให้คุณทางด้านโชคลาภ, วาสนา เกื้อหนุนหน้าที่การงานให้เจริญก้าวหน้า และมีคุณต่าง ๆ แบบครอบจักรวาล ทำให้เป็นที่ต้องการกันอย่างมาก และเสือแต่ละตัวถ้าสวย ๆ จะมีราคาสูงมาก ราคาเริ่มต้นต้องว่ากันตัวละหลายแสนจนถึงหลักล้านเลยทีเดียว
หลักการสังเกตและพิจารณาเสือหลวงพ่อปานเบื้องต้น 1. เสือหลวงพ่อปาน จะสร้างด้วยการแกะด้วยมือทีละตัว ฝีมือแกะแต่ละตัวก็จะคล้าย ๆ กัน แต่เอกลักษณ์ที่คล้ายกันเป็นแนวทางเดียวกันก็คือ “เสือหน้าแมว, หูหนู, ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า” ก็คือการแกะเสือ ลักษณะจะคล้ายแมว ซึ่งจะนั่งชันเข่าหน้า หางม้วนรอบฐานหรือพาดขึ้นหลัง ทั้งเป็นหางเส้นตรงและหางคดเคี้ยว ส่วนนิ้วเท้าจะแกะข้างละ 4 นิ้ว รวมเป็น 16 โสฬส ซึ่งเป็นมงคลและเป็นมาตรฐาน ส่วนตาจะกลมมีหลุมตรงกลางแบบลูกเต๋า, ใบหูเล็กแต่มีรูหูใหญ่แบบหูหนู และที่สำคัญคือรอบตัวกับใต้ฐานจะมีรอยจารอักขระเลขยันต์โดยทั่ว 2. เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน “ต้องแกะจากเขี้ยวเสือเท่านั้น” จึงถือเป็นมาตรฐาน ส่วนที่แกะจากเขี้ยวหมีส่วนใหญ่จะสร้างยุคหลังที่หาเขี้ยวเสือมาแกะไม่ได้ แต่จะไม่ได้เป็นมาตรฐานวงการ ซึ่งจะรวมไปอยู่ในหมวดของเลียนแบบที่สร้างจากเขี้ยวอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เขี้ยวเสือ ส่วนถ้าเป็นเขี้ยวเสือแท้ ๆ เมื่อผ่านการใช้มาอย่างยาวนาน เขี้ยวเสือจะขึ้นมันเข้มจัด บางเขี้ยวจะขึ้น “ขน” เป็นรอยแตก เป็นขีด ๆ เส้นเล็ก ๆ ตลอดทั้งพื้นผิวลำตัวเสือให้ผู้อ่านดูรูปที่ผู้เขียนเอาเสือตัวนี้มาลงคือตัวอย่าง “เสือผิวขึ้นขน” จะถือว่าดูง่ายและเก่าจัด ตอนที่ผู้เขียนเห็นรูปครั้งแรกโดยไม่ดูเสือแกะตัวจริง “เสือผิวขึ้นขน” ตัวนี้ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจซื้อเสือตัวนี้ครับ 3. เขี้ยวเสือที่แกะเป็นรูปเสือจะมีทั้งแกะเต็มเขี้ยว หรือแกะแค่ครึ่งเขี้ยว หรือแกะแค่ปลายเขี้ยว แกะเป็นตัวเล็ก ๆ ก็มี เขี้ยวเสือส่วนใหญ่จะมีรูอยู่ตรงกลาง จากฐานทะลุถึงบนหัวเสือเลย ส่วนรูจะต้องเป็นรูกลมหรือรูรีเท่านั้น และแบบสุดท้ายจะเรียกเขี้ยวซีก โดยจะเอาเขี้ยวเสือชิ้นใหญ่มาแบ่งเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วค่อยแกะเป็นรูปเสือ เรียกว่า เสือสาริกา และเขี้ยวเสือที่ใช้ไปนาน ๆ และ เขี้ยวเสือมีอายุนั้น เขี้ยวเสือจะมีรอยแตกลั่นและรานเป็นทางยาว ส่วนใหญ่เท่าที่พบจะเกิดกับเขี้ยวเสือขนาดใหญ่กับขนาดกลาง ซึ่งจะเป็นเขี้ยวเสือโคร่ง ส่วนเขี้ยวเสือขนาดเล็กซึ่งแกะจากเขี้ยวเสือไฟหรือพวกเขี้ยวซีกนำมาแกะส่วนใหญ่ที่เจอจะไม่ค่อยแตกรานครับ 4. การจารอักขระบนตัวเสือจะวางอักขระดังนี้ - ตรงลำตัวด้านซ้ายและขวา จะจารเลข ๗ ไทย หรือเลข ๙ ไทย - ตรงสะโพกด้านซ้ายและขวา จะจาร ฤ ฤๅ ทั้งสองข้าง - ตรงขาหน้าตรงทั้ง 2 จะจารตัว อุ หางลงล่าง ส่วนใต้ฐาน - ส่วนใหญ่จะจารตัว อุ 3 ตัว - ยันต์กอหญ้า (ม้วนเป็นวง ๆ) 2 วง - และยัน ฦ ฦๅ อีก 1 ตัว และนี่ก็คือเรื่องราวหรือหลักการพิจารณาง่าย ๆ ที่เล่าสู่กันฟัง สุดท้ายก็จะบอกว่าลายมือจารอักขระบนตัวเสือคืออีกสิ่งที่ควรจดจำ เพราะลายมือจารมีอยู่หลายแบบ แต่ลายมือที่อยากจะแนะนำและควรจดจำก็คือลายมือบนตัวเสือ ลายมือนี้ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐาน ซึ่งลายมือนี้จะอยู่บนเสือตัว ดัง ๆ ระดับประเทศเลยทีเดียว ส่วนใครจะจดจำได้มากแค่ไหนก็แล้วแต่ความสามารถแล้วกันครับ เสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ ประวัติการได้ครอบครองเสือตัวนี้ วันหนึ่งลูกค้าอยู่ทางใต้ (ไม่ออกนามครับ) ได้ส่งภาพเสือหลวงพ่อปาน มาถามผู้เขียน - สวัสดีครับอาจารย์ รบกวนช่วยดูองค์นี้ให้หน่อยครับ - ผมก็ตอบว่า เสือตัวนี้ก็เก่านะ ตามลำตัวแตกเป็นริ้ว ๆ ส่วนลายมือจารก็เยี่ยมเลย แต่โดยรวมก็ถือว่าโอเคครับ ให้ผ่าน แล้วเจ้าของเปิดไว้เท่าไหร่ - เปิดไว้ “หลักหมื่น” ครับ แต่เค้าดูไม่เป็นก็เลยยังไม่ต่อราคา - ผมก็เลยถามว่า ถ้าคุณไม่ต่อราคา ผมก็บอกงั้นผมต่อเอง (หลักหมื่น) ราคานี้ผมซื้อเองไม่ต้องดูตัวจริง ดูแค่รูปที่คุณส่งมาแค่นั้นพอ - เค้าก็ถามต่อว่าราคานี้ปิดเลยใช่มั้ย? ผมก็ตอบว่าใช่ แค่คุณเอาเสือมาส่ง และเสือเหมือนกับในภาพที่ส่งมาก็จ่ายเงินไม่มียึกยัก ตามราคาที่ต่อครับ แล้ววันที่รอคอยเสือก็มาถึง พรรคพวกที่อยู่พัทลุงก็ส่งเสือมาให้พรรคพวกเค้าที่อยู่นครปฐม แล้วก็เอามาส่งให้ผมที่โลตัสนครปฐม ถึงเวลาเจอกัน เค้าก็ยื่นเสืออยู่ในกล่องให้ผมชม ผมดูแป๊บเดียวก็บอกว่าเหมือนกับในรูปที่ส่งมาถือว่าถูกต้อง ผู้เขียนก็ถามคนส่งว่าจะเอาเงินสดหรือให้โอนเข้าบัญชี สุดท้ายก็โอนเข้าบัญชีไป แล้วผู้เขียนก็แถมรูปหล่อลอยองค์หลวงพ่อครน วัดบางแซะ องค์นี้เป็นเนื้อผงคลุกรักฝากไปให้ 1 องค์ ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ดำเนินการให้ สภาพพิมพ์เป็นเขี้ยวเสือแกะหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ขนาดสูง 2.5 ซม. ก็ถือว่าเป็นขนาดกลาง ๆ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอดีแขวน สภาพเป็นเสืออ้าปาก แบบนี้เรียกว่า “เสือยิงฟัน” เสือแบบนี้จะหายากมาก ๆ คือมีน้อย แต่ก็มีนะ แต่โดยรวมก็ยังจัดอยู่ในประเภทเสืออ้าปากครับ เขี้ยวเสือตัวนี้ถือว่าเป็นเสือที่ดูง่าย ทั้งผิวพรรณที่เก่ามาก ๆ จนผิวพรรณแตกเป็นเส้นเล็ก ๆ เป็นริ้ว ๆ หรือภาษาวงการพระจะเรียกว่า “ผิวขึ้นขน” และถือว่าเป็นเสือที่ดูง่ายและหายากมาก สภาพแบบนี้ การจารอักขระแบบนี้ ถือว่าเป็นลายมือจารอักขระที่นิยมและมาตรฐาน ครบถ้วนทุกจุดทุกตำแหน่ง ส่วนการแกะก็แกะได้ถูกต้องทุกสัดส่วน โดยเฉพาะนิ้วเสือจะแกะข้างละ 4 นิ้ว รวมเป็น 16 โสฬส ถือเป็นมาตรฐาน และถ้าเขี้ยวเสือถึงอายุเขี้ยวจะแตกรานถือว่าเป็นปกติ และเสือตัวนี้ได้มาไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างลงตัวทั้งความเก่าตามซอกตามร่อง ซอกลึกก็ OK ปล่อยไว้แบบเดิมทั้งหมด สุดท้าย ก็แค่ไปถ่ายรูปใหม่ 8 ด้าน และมาลงในหมวดเบญจภาคีเครื่องราวเพื่อท่านผู้อ่านได้ชมกันอย่างจุใจเลยครับ ------------------------------ หนุมาน หลวงพ่อสุ่น จังหวัดนนทบุรี หนุมาน หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุล จังหวัดนนทบุรี ชื่อเสียงหนุมาน หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุล มีมาอย่างยาวนาน ทั้งเรื่องอิทธิฤทธิ์ที่กล้าแข็ง พุทธคุณที่เข้มขลัง และเลื่องชื่อติดต่อกันมาอย่างยาวนานเกือบร้อยปี และยังจัดอยู่ในชุดเบญจภาคีเครื่องรางและโด่งดังเคียงคู่กับเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จนมีคำกล่าวในหมู่นักเล่นเครื่องรางว่า “ถ้าเสือต้องหลวงพ่อปาน ส่วนหนุมานต้องหลวงพ่อสุ่น” ครับ หนุมานเป็นทหารเอกของพระราม มีฤทธิ์เดชมาก และมีกำลังมหาศาล มีความรวดเร็วคล่องแคล่ว ว่องไว และมีมนต์เสน่ห์ มีเมตตามหานิยมสูง และเมื่อหลวงพ่อสุ่นจัดสร้างหนุมานและปลุกเสกด้วยอาคมและเวทย์มนต์ หนุมานที่จัดสร้างจึงยิ่งทรงอานุภาพความเข้มขลัง มีคุณวิเศษป้องกันศาสตราวุธต่าง ๆ ให้อยู่ยงคงกระพันชาตรี มีโชคลาภ และเมตตามหานิยม ทำกิจการเจริญก้าวหน้า สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หนุมานหลวงพ่อสุ่นสร้างจากรากไม้พุดซ้อนและไม้รัก ในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มจัดสร้างจะแกะจากรากไม้พุดซ้อนและรากไม้รัก ในช่วงแรกหลวงพ่อสุ่นจะนำไม้ทั้งสองมาปลูกไว้หน้ากุฏิตั้งแต่สมัยมาอยู่ที่วัดศาลากุลใหม่ ๆ ท่านได้เสกน้ำมนต์แล้วรดน้ำให้ทุกวันจนได้ที่ ได้ขนาดแล้วค่อยตามช่างมาเริ่มแกะหนุมาน ส่วนเนื้องาก็จะแกะภายหลังและมีจำนวนน้อยมาก ๆ หลวงพ่อสุ่นปลุกเสกและแจกหนุมานหลายคราวหลายวาระ แต่ที่เป็นครั้งสำคัญและเป็นที่จดจำได้ดีมีอยู่ 2 ครั้งคือ เมื่อปี พ.ศ. 2468 และปี 2470 ทั้ง 2 ครั้ง แจกหนุมานไปประมาณไม่เกิน 300 ตัว หนุมานหลวงพ่อสุ่นแบ่งออกเป็น 2 พิมพ์หลัก ได้แก่ - พิมพ์หน้าโขน ลักษณะแกะแบบมีเครื่องทรง แกะได้ละเอียดวิจิตรงดงามมาก เหมือนพวกโขนรามเกียรติ์ ลักษณะเป็นหนุมานนั่งยองมือกุมเข่าอ้าปาก และเห็นลิ้นด้วย - พิมพ์หน้ากระบี่ จะแกะเป็นศิลปะเรียบง่าย มีเครื่องทรงประดับน้อยชิ้นกว่า และอยู่ในลักษณะนั่งยอง มือกุมเข่า อ้าปาก และเห็นลิ้นด้วยเช่นกัน หนุมานหลวงพ่อสุ่นมีความเก่าแก่ถึงปัจจุบันก็ร่วม 100 ปีแล้ว เนื้อไม้ที่แกะหนุมานจะต้องแห้งเก่า เนื้อไม้จะต้องแห้งและเบา ไม่เหลือความชื้นในเนื้อไม้ หนุมานบางตัวจะมีรอยแตกจากฐานขึ้นมาถึงตัวด้านบนเลยก็มี ส่วนหนุมานที่แกะด้วยงาก็มีแกะทั้งแบบหน้าโขนและหน้ากระบี่ ส่วนใหญ่จะมีไม่มากนัก หลักสังเกตหนุมานเนื้องา ส่วนใหญ่จะแตกเป็นทาง พื้นผิวจะแตกเป็นริ้ว ๆ ในซอกลึกจะแห้งเก่าและควรเลือกเล่นศิลปะที่นิยมมาตรฐาน ส่วนศิลป์แปลก ๆ ควรเลือกเล่นศิลป์ที่แกะได้สวยและแกะได้สัดส่วน และต้องเลือกความเก่าถึงยุคต้องมาก่อน และสุดท้ายต้องเลือกซื้อที่ราคาถูกหน่อยจะปลอดภัยกว่า ถ้าผิดพลาดก็จะไม่เจ็บตัวมากนัก หนุมานหลวงพ่อสุ่น “องค์จอมทัพ” วัดศาลากุล จังหวัดนนทบุรี ส่วนหนุมานหน้าโขน “องค์จอมทัพ” ตัวนี้ได้มาร่วม 20 กว่าปีได้แล้วมั้ง ตอนนั้นไปซื้อ เบี้ยแก้วัดนายโรงชื่อ “เบี้ยทองมะเฟือง” เบี้ยลูกนี้จะลงบทความต่อท้ายราหูอมจันทร์ จำได้ตอนนั้น เจ้าของหนุมานก็ได้ใช้หนุมานมา 10 กว่าปีแล้ว บุกอย่างไรก็ไม่เปิดราคา ก็เลยฝากข้อความทิ้งไว้ว่า วันไหนเปิดราคาก็แจ้งนายหน้าไปส่งข่าวให้ที ผู้เขียนรอมาอย่างยาวนานถึง 3-4 ปี ภายหลังเจ้าของหนุมานก็เปิดราคามา 2 แสนบาท ผมก็ต่อไว้ 150,000 บาท ถ้าตกลงก็แจ้งกลับจะเอาเงินสดไปให้ภายใน 2 วัน เจ้าของก็ปรึกษาที่บ้าน ภายหลังก็ตกลงที่ 150,000 บาท ตอนนี้เรามาตรวจสอบความงามและดูง่ายของหนุมานที่ชื่อ “องค์จอมทัพ” กันดีกว่า - หนุมานตัวนี้สูง 3 ซม. ความอ้วน 1.5 ซม. ก็ถือว่าไม่ใหญ่โตนัก ผู้เขียนว่าพอดี ๆ ก็ถ้าจะ เป็นผู้นำหรือจอมทัพตัวก็ต้องใหญ่หน่อย คือร่างกายกำยำ แข็งแรง เป็นที่น่าเกรงขาม - ศิลปะการแกะ แกะเป็นพิมพ์หน้าโขน ช่างแกะแกะลวดลายต่าง ๆ ได้อย่างวิจิตร และอลังการมาก โดยเฉพาะช่วงปาก แกะเขี้ยวได้อันใหญ่มาก ดูแล้วหน้าดุมาก และน่าเกรงขามอย่างที่สุด - สภาพพื้นผิว ส่วนไม่ถูกสัมผัสจะเป็นพื้นผิวสีเหลืองหม่น ๆ มีคราบราดำอยู่ตามร่องงานแกะ ส่วนพื้นผิวที่ถูกสัมผัสคือส่วนที่ยื่นออกมา เช่น มือกุมเข่า, จมูก, เขี้ยว ผิวจะออกจัดจ้าน เนื้อไม้ผิวจะออกเหลืองเข้ม - ส่วนเรื่องน้ำหนัก หนุมานตัวนี้ถึงจะสูงใหญ่ถึง 3 ซม. แต่น้ำหนักก็จะเบามาก เนื้อไม้อายุเกือบ 100 ปี เนื้อไม้แห้งสนิทไม่มีความชื้นในเนื้อไม้หลงเหลืออยู่อีกแล้วครับ และนี่ก็คือเรื่องราวหนุมานที่ชื่อ “จอมทัพ” หนุมาน 1 ในเบญจภาคีตัวที่ ช้าง–วัดห้วย หวงที่สุดชิ้นหนึ่งเลยทีเดียวครับ
------------------- ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง จังหวัดนครปฐม
ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง
ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ถือเป็นเบอร์ 1 ของเครื่องรางประเภทราหู อมจันทร์ทั้งหมด มีพุทธคุณโดดเด่นทางด้าน “หนุนดวงชะตา แก้ดวงตก” ใครได้บูชาราหูอมจันทร์ติดตัวแล้ว ที่ร้าย ๆ จะกลับกลายมาเป็นดี พลิกฟื้นดวงชะตาให้ไปต่อได้และยังแคล้วคลาดจากอันตรายต่าง ๆ และมีโชคลาภ และพร้อมทั้งมีความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตำรับการสร้างราหูอมจันทร์ของหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ตกทอดมาจากลาวเวียงจันทร์ และหลวงพ่อน้อยก็มีเชื้อสายลาวด้วย หลวงพ่อน้อยจะให้ช่างแกะราหูอมจันทร์จาก “กะลาตาเดียว” โดยให้ช่างแกะเป็นทรงเสมา ภายในเสมามีรูปพระราหูครึ่งตัว กำลังประคองจันทร์ ส่วนด้านหลังปล่อยเรียบว่างไว้ให้หลวงพ่อน้อยจารอักขระต่าง ๆ ลงไป ราหูอมจันทร์หลวงพ่อน้อย ด้านหลังจะลงอักขระแบบขอมลาว ซึ่งมีลักษณะตัวกลม ๆ เป็นอักขระแบบมาตรฐานที่ถ่ายทอดจากอดีตสู่ปัจจุบัน ที่ทั้งหลวงพ่อน้อยจารเอง อาจารย์ปิ่นจาร และลูกศิษย์จารก็มี เมื่อจารเสร็จแล้วก็ให้หลวงพ่อน้อยปลุกเสกอีกที ส่วนเรื่องจารอักขระส่วนใหญ่จะจารคาถาสุริยะประภาสูตรเดียวก็มี หรือจารจันทรประภาสูตรเดียวก็มี ส่วนใหญ่ที่จารสูตรเดียวมักจะจารตอนเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา เพราะพุทธคุณจะครบสูตรและจะแรงเต็มที่ คนยุคก่อนถึงเลือกเก็บราหูที่จารเพียงสูตรเดียว ก็เพียงพอแล้ว และที่หลวงพ่อน้อยลงมากสุดก็จะจาร 2 สูตร ทั้งสุริยะประภา และจันทรประภา ก็คือสูตรธรรมดาทั่วไป เพื่อแจกให้ประชาชนทั่วไป และลูกศิษย์ไปบูชากัน
ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง เลี่ยมเงินเก่าแต่เดิม ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ที่นิยมสุด ได้แก่ทรงเสมา มีทั้งขนาดเล็ก, กลาง, ใหญ่ และวันนี้หมวดเบญจภาคีเครื่องราง ผู้เขียนขอเลือกมาให้ผู้อ่านได้ชมราหูอมจันทร์สัก 2 อัน ที่มีความสวยมาก และเก็บมายาวนานเกือบ 30 ปีเลยทีเดียว ชิ้นแรกเป็นราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง เป็นราหูเปลือย สภาพสวยมาก ๆ ซึ่งเป็นฝีมือการแกะราหูของช่างสีใหญ่ ซึ่งแกะได้เรียบร้อย ฝีมือระดับชั้นครูเลยทีเดียว สภาพกะลาราหูอมจันทร์เป็นราหูอมจันทร์ที่แกะราหูอมจันทร์ได้งามสง่ามาก ๆ การลงใบมีดเครื่องมือแกะลงได้คมและเรียบร้อย ไม่มีรอยแกะที่พลาดและฉีก และไม่มีรอยเสี้ยนกะลาวิ่งผ่าน ซึ่งจะทำให้ลดความงามลงไป เมื่อก่อนตอนได้ราหูองค์นี้มาใหม่ ๆ ผิวพรรณเป็นราหูเผือกออกขาวอมน้ำตาล ผู้เขียนก็เก็บไว้ไม่ได้ใช้เพราะสวยจัด เดี๋ยวผิวพรรณจะเสีย เวลาผ่านไปเกือบ 30 ปี ผิวพรรณก็งอกขึ้นมาเป็นผิวขาว ๆ ขึ้นปกคลุมด้านหน้าทั้งหมด ส่วนด้านหลังจาร 2 สูตร ทั้งสุริยะประภาและจันทรประภา และเมื่อก่อนเกือบ 30 ปี ลายมือจารแบบนี้ถือว่าเป็นลายมือนิยม ถือเป็นมาตรฐานวงการเลยทีเดียว ปัจจุบันลายมือมาตรฐานแบบนี้ไม่เห็นแล้ว คือโดนเก็บเข้ารังหมด พวกเซียนทั่วไปจึงหันไปเล่นลายมือเหลี่ยม ๆ แล้วช่วยกันดันว่าเป็นหลวงพ่อน้อยจารและรับซื้อด้วย แล้วแบบนี้ใครจะไม่เชื่อละ และราหูเผือกองค์นี้ได้ลงหนังสือรวมเล่มราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง แบบเต็มหน้าด้วยครับ ชิ้นที่ 2 ราหูอมจันทร์เลี่ยมเงินเก่าแต่เดิม ไม่ได้เอามาสวมภายหลัง ให้สังเกตด้านหน้าลวดลายจะขนานกันกับงานแกะราหู ส่วนด้านหลังก็จะมีแผ่นหลังปิดและมีการจารอักขระ เป็นจารทรงน้ำเต้า 3 ชั้น เมื่อประกอบเสร็จแล้วแผ่นหลังต้องแน่นไม่หลวม ส่วนใหญ่ก็จะเอาขอบเงินขององค์อื่นมาสวมแทน แล้วปิด ก็ลองสังเกตดูว่าขอบเงินที่พับไปกดแผ่นเงินถ้าไม่เรียบร้อยมีรอยยับหรือฉีกขาดก็แสดงว่าสวมใหม่หรือแกะออกมาดูแล้วปิดเข้าไปใหม่ สภาพพิมพ์เป็นราหูที่แกะแม่พิมพ์จากช่างสีใหญ่เช่นกัน และเจ้าของเดิมได้นำไปเลี่ยมเงินภายหลัง และที่บอกว่าเลี่ยมเงินจากวัดผู้เขียนเคยไปสอบถามช่างสีใหญ่ตอนนั้นช่างสีอายุ 80 กว่า ช่างสีก็บอกว่า ทางวัดแกะและให้หลวงพ่อน้อยจารและปลุกเสกอย่างเดียว ส่วนเลี่ยมเก่าจะเลี่ยมเงิน ทอง หรือนาก เจ้าของราหูไปเลี่ยมเองทั้งนั้นแหละครับ และช่างสีก็จากไปตอนอายุ 99 ปี ถือว่า วัดศรีษะทองสูญเสียช่างฝีมือแกะราหูชั้นเยี่ยมไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งลูกชายก็แกะราหูก็ไม่เหมือนช่างสีนะครับ ผู้เขียนเคยไปขอดูฝีมือมาแล้ว ผู้เขียนเก็บราหูสวยแชมป์ร่วม 20 องค์ และโบราณอีก 20-30 องค์ คือเล่นมานานมากแล้ว เรียกว่าผู้เขียนเริ่มเล่นพระก็เลือกเล่นราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย เป็นอย่างแรกเลยทีเดียว ก็คือแม่นทั้งพิมพ์และลายมือจารครับ ------------------ เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง กรุงเทพฯ
เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง กรุงเทพฯ “เบี้ยทองมะเฟือง”
เบี้ยแก้เป็นเครื่องรางชั้นเยี่ยมที่มีคุณวิเศษอเนกอนันต์ โดดเด่นในด้านป้องกันเรื่องคุณไสย กันผีสาง ลมเพลมพัด และอื่น ๆ อีกมากมาย กล่าวคือ ป้องกันสิ่งไม่ดี หรือสิ่งที่เป็นอันตรายต่าง ๆ เข้าตัว หรือดีทางด้านแก้ไขก็คือ ผู้ที่โดนของ, โดนผีเข้า ก็ใช้เบี้ยแก้ทำน้ำมนต์ประพรมหรือดื่มกิน อาการต่าง ๆ ก็จะดีขึ้น ถือว่า เบี้ยแก้มีคุณวิเศษครอบจักรวาล ทั้งป้องกันและปัดเป่าจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง ผู้ที่พกเบี้ยแก้ติดตัวจะแคล้วคลาด ปลอดภัย จากเรื่องไม่ดีต่าง ๆ เหล่านี้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง เป็นอาจารย์ยุคเก่าหรือยุคแรก ๆ ร่วมสมัยเดียวกันกับหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ท่านเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระ มีพระเวทย์วิทยาคมขลังยิ่งนัก การสร้างเบี้ยแก้ของหลวงปู่รอด ท่านจะสร้างและมอบให้เฉพาะผู้ที่ศรัทธามาขอให้ท่านทำเท่านั้น และจะให้ผู้ที่ต้องการเบี้ยของท่านจะต้องเตรียมของ 4 อย่างไปถวายให้ท่านจัดทำเบี้ย ได้แก่ เบี้ยพู, ปรอท, ชันโรงใต้ดิน และแผ่นตะกั่วนม ส่วนกรรมวิธีจัดสร้าง หลวงปู่รอดจะนำปรอทบรรจุในเบี้ย ปิดปากเบี้ยด้วยชันโรงใต้ดิน แล้วใช้แผ่นตะกั่วหุ้มปิดตัวเบี้ย มีทั้งหุ้มปิดทั้งตัว และบางตัวก็จะหุ้มเปิดหัวเบี้ยไว้ก็มี จากนั้น หลวงปู่รอด จะลงอักขระยันต์บนแผ่นตะกั่วโดยจะลงยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ และเมื่อปลุกเสกเสร็จ หลวงปู่รอดก็จะมอบให้ผู้ที่ศรัทธาที่เตรียมของมาให้ ผู้ที่ได้รับมอบส่วนใหญ่จะไปให้ช่างถักเชือกมีทั้งหูเดียวและ 2 หูก็มี เมื่อถักเสร็จแล้ว ก็จะไปลงรักหรือยางไม้ เพื่อเป็นการรักษาให้เบี้ยแก้คงทนอยู่ได้นาน ๆ และก็มีบางท่านก็นำไปปิดทองทั้งลูก จนภายหลังคนส่วนใหญ่จะเรียกเบี้ยปิดทองเก่าพวกนี้ว่า “เบี้ยไข่ทอง” ก็มี
เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง กรุงเทพฯ “เบี้ยทองมะเฟือง”
ประวัติการได้ครอบครอง เบี้ยแก้ หลวงปู่รอด ลูกนี้ผู้เขียนได้มานานมากแล้ว น่าจะ 20 กว่าปีขึ้นไป แล้วเคยเขียนบทความเบี้ยปู่รอด “เบี้ยทองมะเฟือง” ไปแล้วครั้งหนึ่ง จำได้ตอนนั้นยังหนุ่ม ยังตระเวนหาของโดยมีนายหน้าหาพระซึ่งเป็นคนพื้นที่แถวนครชัยศรี เป็นคนนำทางไปบ้านนี้, บ้านโน้น และสุดท้าย ก็ไปบ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านทำสวน เป็นชายแก่สูงอายุ และมีเบี้ยแก้ปิดทองเก่าอยู่ 1 ตัว นายหน้าก็หันมาถามว่าบ้านนี้มีเบี้ยปิดทองเก่าสวยอยู่ 1 ตัว จะลองเข้าไปดูมั้ย ผมก็บอกได้สิ ลุยเลย ก็เข้าไปเจอเจ้าของบ้าน และนายหน้าก็รีบสอบถามว่า เบี้ยแก้ปิดทองของลุงยังอยู่มั้ย ลุงก็ตอบว่ายังอยู่ดี นายหน้าก็รีบบอกว่าพอดีผ่านมาทางนี้ มาหาราหูอมจันทร์ก็เลยชวนพรรคพวกมาขอชมดูหน่อย เผื่อจะชอบ นายหน้าเลยเอ่ยปากขอชมหน่อยได้ไหม ลุงก็เดินเข้าไปในห้องครัวหลังบ้านเปิดลิ้นชักแล้วหยิบถุงผ้าเก่า ๆ ออกมา ถุงผ้าภายในบรรจุเบี้ยแก้ และมีข้อความเขียนใส่กระดาษแผ่นเล็ก ๆ ว่า เบี้ยหลวงปู่รอด วัดนายโรง “เบี้ยทองมะเฟือง” และถุงที่ใส่เบี้ยแก้นั้นคนจีนจะเรียก “ไถ้” เมื่อลุงหยิบเบี้ยแก้ออกจากไถ้ให้ผู้เขียนดูเท่านั้นแหละ เห็นแล้วก็ชอบเลย ก็ลองสอบถามลุงว่า ถ้าผมจะขอแบ่งเบี้ยลูกนี้ไปบูชาจะได้มั้ย ลุงก็ตอบว่าเบี้ยแก้ลูกนี้เป็นของส่วนกลางก็คือใครจะใช้ก็ไปหยิบในลิ้นชัก ใช้เสร็จก็เอามาวางไว้ที่เก่า ทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว ลุงเจ้าของเบี้ยก็หันมาถามผู้เขียนว่าจะเอาจริง ๆ เหรอ ต้องเอาใครมาดูอีกหรือเปล่า? ผมเลยบอกว่าผมต้องการเอาไปไว้ใช้จริง ๆ ครับ และไม่ต้องเอาใครมาดูอีกแล้ว คือผมดูจบแล้ว เหลือแต่ราคาเท่านั้น แล้วลุงก็บอกว่า งั้นอาทิตย์หน้าวันนี้คุณมาใหม่ เดี๋ยวลุงจะปรึกษากับลูก ๆ แล้วจะบอกราคาให้ว่าเป็นราคาเท่าไหร่ แล้ววันนัดก็มาถึงผมก็ไปตามนัด ลุงกับลูก ๆ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ก็เลยสรุปลุงเปิดราคาไว้เท่าไหร่ ลุงก็บอกปรึกษากับลูก ๆ แล้ว เปิดราคาที่ 120,000 บาท ผมก็ร้องว่าอู้ฮูราคาสูงจัง ลุง ก็อธิบาย (ขายของ) พร้อมทั้งคุณสมบัติต่าง ๆ ให้ฟัง ผมก็พยักหน้าว่าครับ ครับ ก็เลยสอบถามลุงว่าลดได้อีกมั้ย ลุงก็บอกว่าถ้าจะลดก็ลดเหลือ 1 แสนบาทถ้วน ผมก็บอกว่าลดอีก 1 หมื่นบาท เหลือ 9 หมื่นบาท ไปแบ่งกันลงตัวพอดี ลุงก็ไปปรึกษากับลูก ๆ ก็พยักหน้า งั้นก็ตกลงครับ ก็จ่ายเงินสดไป 9 หมื่นบาท เท่าที่จำได้ก็ประมาณนี้ครับ สภาพเบี้ยแก้ “เบี้ยทองมะเฟือง” เป็นเบี้ยขนาดมาตรฐาน น้ำหนักปานกลาง เมื่อลองเขย่าดูมีเสียงปรอทวิ่งเคลื่อนตัวได้ดีไม่แน่นจนเกินไป และเมื่อเอากล้องส่องดูจะเห็นได้ว่า เบี้ยตัวนี้จะ ลงรักก่อน แล้วลงชาดทับอีกที แล้วค่อยปิดทองแท้ทั้งตัวเป็นขั้นตอนสุดท้าย ลายเชือกถักเป็นแบบเรียบ ๆ เป็นเส้นยาว และเป็นทาง ๆ ตลอดทั้งลูก ส่วนด้านบนก็ถักห่วงไว้แขวน 1 ห่วง สภาพโดยทั่วไปเป็นเบี้ยแก้ หลวงปู่รอด ที่สวยสมบูรณ์มาก ๆ ถือว่าเป็นแชมป์ในตระกูลเบี้ยปู่รอดเลยทีเดียว และให้ทุกท่านลองถ่างภาพขยายใหญ่ ลองดูทองตามตัวเบี้ย ทองที่ปิดมาจนถึงปัจจุบันจะแห้ง ทองสีจะออกเหลืองหม่น ๆ ไม่มีความเหลืองสุกปลั่ง ตามร่องเชือกจะมีฝุ่นผงต่าง ๆ ขี้ธูปบ้าง ตอนนี้เรามาวิเคราะห์ชื่อ “เบี้ยทองมะเฟือง” กันดีกว่า จากคำบอกเล่าของลุงที่เป็น เจ้าของเดิมเคยบอกว่า ความหมายคงจะคล้าย ๆ ลูกมะเฟือง พอเวลาสุกก็จะกลายเป็นสีเหลืองทอง ผู้เขียนก็ว่าความหมายก็ใกล้เคียงดีใช้ได้ เพราะดูจากลายถักเชือกเป็นทาง ๆ ยาว ๆ เป็นเส้นเอียงรอบตัวเบี้ยเป็นแนวตลอดทั้งตัวเบี้ย ลายถักนี้ถ้าจะเปรียบกับลูกมะเฟืองก็คงจะเป็นกลีบมะเฟือง และการปิดทองเบี้ยทั้งลูกก็จะเปรียบเหมือนตอนลูกมะเฟืองสุกเต็มที่หรือแก่เต็มที่แล้ว ผลมะเฟืองจากสีเขียวก็จะกลายเป็นสีเหลืองทองครับ ความหมายของชื่อ “เบี้ยทองมะเฟือง” คงประมาณนี้ครับ ถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละครับ และต้องขอชมคนตั้งชื่อคนแรกว่าตั้งชื่อได้ดี และเป็นมงคลนาม จริง ๆ และเปรียบเทียบได้ดีจริง ๆ ครับ และเบี้ยปู่รอด “เบี้ยทองมะเฟือง” ลูกนี้คือสมบัติที่หวงแหนอีกชิ้น เปรียบเสมือนก้อนทองพกติดตัว ซึ่งเป็นทั้งสิ่งมงคลที่มีค่าและมีความหมายอย่างสูงครับ
|

![]() |
|
|