พระเครื่อง
- หมวด 4 จตุรเทพโคตรแชมป์
- พระสุดหวงของ ช้าง–วัดห้วย
- หมวดพระสวยขั้นเทพ-มีไว้แค่โชว์
- หมวดรวมพระแชมป์ยอดนิยม
- พระเบญจภาคี
- พระปิดตายอดนิยม
- เครื่องรางยอดนิยม
- พระเครื่องเนื้อโลหะยอดนิยม
- หมวดพระหลักฝากขาย เกรดพรีเมี่ยม
- พระเครื่องเนื้อดินยอดนิยม
- พระชุดเล็กยอดนิยม
- หมวดมรดกพระเครื่อง อ.เต็ก
- หมวดพระเครื่ององค์พิเศษ
- พระทวารวดี และเทวรูปขนาดเล็ก
- หมวดพระแชมป์–ราคาแรงส์
- หมวดพระแปลกตาแต่แท้ชัวร์
- หมวดพระแชมป์–ราคาเบา
- หมวดพระยอดหายาก
สมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่
ถ้ากล่าวถึง พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นผู้สร้างไว้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก และเป็นสุดยอดปรารถนาอยากจะเป็นเจ้าของไม่ว่าจะเป็นพิมพ์อะไร ก็ตาม ถือว่าเป็นสุดยอดของพระเครื่องทั้งปวง และเป็นพระเครื่องที่มีมูลค่าสูงสุดจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ยังคงครองอันดับ 1 ตลอดกาล
แนวทางการศึกษาสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่
สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ แบ่งออกเป็น 4 แม่พิมพ์ คือ
1. สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 1 พิมพ์มีเส้นแซมใต้หน้าตัก
2. สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 พิมพ์อกตัววี
3. สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 3 พิมพ์อกกระบอก
4. สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 4 พิมพ์เกศทะลุซุ้ม
แนวทางการศึกษาผู้เขียนจะชี้ตำหนิที่เหมือน ๆ กัน ออกมาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วตามด้วยแยกพิมพ์ที่ 1 ถึงพิมพ์ที่ 4 ว่าต่างกันอย่างไร อันดับต่อไป คือการดูเนื้อและมวลสาร, การกดแม่พิมพ์ สุดท้ายคือ การดูหลังพระว่ามีกี่แบบ อะไรบ้าง
หลัการพิจารณาตำหนิพิมพ์
สมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม พิมพ์ใหญ่
สมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่ |
หลักการพิจารณาตำหนิพิมพ์ สมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่
1. ให้สังเกตเส้นซุ้มครอบแก้วเป็นอันดับแรก คือ เส้นซุ้มครอบแก้วทั้งเส้นซ้ายและเส้นขวามือพระ จะโย้ไปทางซ้ายมือพระทั้งหมด จึงทำให้เกิดดังนี้ เส้นกรอบแม่พิมพ์ทางขวามือพระซึ่งเป็นเส้นนูนเส้นเล็ก ๆ ลากลงมาจากด้านบนและจะเริ่มแนบเส้นซุ้มครอบแก้ว ตั้งแต่บริเวณหัวเข่าขวาพระจรดเส้นซุ้มด้านล่างสุด
2. ส่วนเส้นกรอบแม่พิมพ์ทางด้านซ้ายมือพระจะลากลงมาจากด้านบนและจะแนบเส้นซุ้มครอบแก้วตั้งแต่กึ่งกลางแขนถึงปลายข้อศอกซ้ายพระและจะกลืนหายไปกับเส้นซุ้มครอบแก้ว
3. เกศพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ จะเป็นปลีเรียวเล็ก คือโคนเกศจะใหญ่กว่าปลายเกศเล็กน้อย และจะพุ่งขึ้นจรดซุ้มทุกแม่พิมพ์ของพิมพ์ใหญ่ และเกศจะเอียงไปทางซ้ายพระเล็กน้อย
4. รูปหน้าของสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ จะคล้ายผลมะตูม เฉพาะบางแม่พิมพ์จะมีโหนกยื่นทางแก้มขวาพระ ส่วนถ้าแม่พิมพ์กดได้ลึกคมชัด จะเห็นหูซ้ายพระเป็นเส้นทิ้งตรงลงมา แต่จะเห็นแบบราง ๆ เท่านั้น
5. ให้สังเกตความกว้างของรักแร้ คือความกว้างจากรักแร้ถึงหัวไหล่ ด้านบนทางด้านขวามือพระจะหนา ส่วนทางด้านซ้ายมือพระจะบางกว่า
6. ให้สังเกตลำตัวและวงแขนพระจะนั่งบิดตัวไปทางขวาเล็กน้อยและแขนขวาพระจากหัวไหล่ถึงข้อศอกจะแลดูสั้น ส่วนทางซ้ายพระจากหัวไหล่ถึงข้อศอก จะแลดูยาวกว่า
7. ซอกรักแร้ข้างซ้ายพระช่างจะแกะแม่พิมพ์ลึกกว่าข้างขวามือพระและจะแกะแม่พิมพ์ให้ลาดเอียงจากข้างเอวพระทั้งสองข้างจะตื้น และลาดลงลึกสุดที่รักแร้พระ
8. หัวฐานชั้นบนสุดข้างซ้ายพระจะเตี้ยกว่าหัวเข่าข้างซ้ายพระเล็กน้อย และหัวฐานนี้จะยาวกว่าหัวเข่าเล็กน้อย ส่วนหัวเข่าด้านขวาพระจะเตี้ยกว่าหรือแค่เสมอหัวฐานชั้นบนข้างขวาพระ
9. หัวฐานชั้นล่าง ด้านขวามือพระช่างจะแกะแม่พิมพ์เฉียงเล็กน้อย และหัวฐานเกือบชิดเส้นซุ้ม
10. หัวฐานชั้นล่างด้านซ้ายมือพระ ช่างจะแกะหัวฐานค่อนข้างตรงและห่างเส้นซุ้ม
11. พื้นที่ ถ้าผู้อ่านลองส่องพระย้อนกลับคือให้ส่องจากเกศพระไล่ลงมาจะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นคือ พื้นที่ตั้งแต่เกศจะต่ำและลาดสูงขึ้นไปจนถึงข้างแขนพระทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
12. แขนซ้ายพระตั้งแต่หัวไหล่ถึงข้อศอกช่างจะแกะแม่พิมพ์ต่ำกว่าข้างขวาพระและแกะหัวไหล่ต่ำลาดสูงขึ้นไปจนถึงข้อศอก
13. ร่องฐานระหว่างหน้าตักกับฐานชั้นบน ร่องฐานทางขวาจะตื้นและลาดลง จะลึกสุดคือปลายด้านซ้าย
14. ร่องฐานระหว่างฐานชั้นบนกับฐานชั้นกลาง พื้นที่ในร่องฐานจะเสมอภายนอก
หลักการแยกแม่พิมพ์ สมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่
สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ แบ่งออกเป็น 4 แม่พิมพ์ ดังนี้
1. สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 1
- เอกลักษณ์คือมีเส้นแซมใต้หน้าตัก และมีเส้นสังฆาฏิขนาดเล็ก
สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 1 |
2. สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2
- เอกลักษณ์ของพิมพ์ที่ 2 คืออกตัววี
สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 2 |
3. สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 3
- เอกลักษณ์ของพิมพ์ที่ 3 คืออกกระบอก
สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 3 |
4. สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 4
- เอกลักษณ์ของพิมพ์ที่ 4 คือเกศทะลุซุ้ม
สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ พิมพ์ที่ 4 |
จริง ๆ แล้ว เอกลักษณ์แต่ละพิมพ์ยังมีมากกว่านี้ แต่ผู้เขียนว่า จดจำแค่นี้ก็พอแล้ว และให้ดูผสมผสานกับหลักการพิจารณาดูสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ แล้วการดูพระของผู้อ่านจะดีขึ้นเอง ตอนผู้เขียนเริ่มศึกษาพระสมเด็จ อาจารย์ผู้เขียนก็ให้เริ่มศึกษาและจดจำแค่นี้ก่อน สุดท้ายพอเริ่มแตกฉาน เริ่ม เข้าใจ สุดท้าย การดูสมเด็จก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หลักการดูเนื้อ และมวลสาร ของสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์ใหญ่
เริ่มต้นด้วยส่วนผสมของเนื้อสมเด็จวัดระฆัง ประกอบด้วย มวลสารหลัก ๆ ดังนี้
มวลสารในสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ |
1. ปูนเปลือกหอย สมัยก่อนเขาจะใช้เปลือกหอยมาเผาแล้วบดให้ละเอียด ก็จะได้เป็นปูนขาว ซึ่งเป็นส่วนผสมหลัก
2. เม็ดสีเทา มีทั้งเทาอ่อน และเทาเข้ม ลักษณะก้อนเล็ก ๆ มีค่อนข้างน้อย
3. เม็ดสีเขียว มีทั้งเขียวอ่อน และสีเขียวหยก แบบนี้ก็มีน้อยมาก
4. ผ้าแพรห่มพระพุทธและก้านธูปสมเด็จโตจะหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ และผสมลงไป
5. อิฐแดง สันนิษฐานว่าเป็นเศษซุ้มกอมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาผสม
6. เม็ดพระธาตุ ลักษณะเป็นสีขาวอมเหลือง มีทั้งก้อนเล็กและก้อนใหญ่
7. น้ำมันตั่งอิ้วเป็นตัวประสาร และยังมีมวลสารอื่น ๆ อีก
เอาวัสดุทั้งหมดผสมกันโดยใช้น้ำมันตั่งอิ้วเป็นตัวประสาร แล้วปั้นเป็นแท่ง แล้วตัดออกเป็นชิ้น ๆ ที่เรียกว่า "ชิ้นฝัก" แล้วนำมากดในแม่พิมพ์ ก่อนนำมวลสารไปกดในแม่พิมพ์ คาดว่า น่าจะนำแป้งโรยพิมพ์ก่อนเพื่อที่จะให้มวลสารไม่ติดในพิมพ์ แล้วนำแผ่นไม้มากดย้ำด้านหลังจึงเกิดเป็นหลังแบบต่าง ๆ เมื่อกดเสร็จแล้ว ก็เคาะออก แล้วตัดข้างออก 4 ด้าน เสร็จแล้วนำไปตากแห้ง แล้วให้สมเด็จโตปลุกเสกต่อไป
จากวันนั้นถึงวันนี้ อายุพระก็ร้อยกว่าปี พื้นผิวจะมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
ด้านหน้า
- เส้นซุ้ม ตอนเริ่มสร้างกดพิมพ์ เส้นซุ้มจะเป็นสามเหลี่ยม คือปลายบนแคบ ด้านล่างจะกว้าง เมื่อเวลาผ่านไปร้อยกว่าปี เส้นซุ้มด้านนอกหดเข้าเกือบตั้งฉาก ส่วนด้านในเส้นซุ้มหดตัว ม้วนเข้าค่อนข้างกลมแบบเส้นลวด จุดนี้เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง ซึ่งถ้าคนทำพระปลอม นำสมเด็จของแท้ไปถอดพิมพ์ เส้นซุ้มที่ถอดออกมา ตีนเส้นซุ้มก็จะบานออก ซึ่งถ้าเข้าใจตรงนี้ยังไงก็ไม่โดนของปลอม ส่วนตั้งแต่เกศ, เศียรพระ, แขน, ลำตัว ฐานพระก็เหมือนกัน ลองสังเกตดู ส่วนพื้นผิวที่มี รูเล็ก ๆ หรือที่เรียกว่า "รอยปูไต่" ซึ่งเกิดจากมวลสารบางชนิดเกิดการย่อยสลายและหลุดออกจึงเกิดเป็นรูเล็ก ๆ ส่วนพื้นผิวที่เรียกว่า "คราบแป้งยังอยู่" พื้นผิวชนิดนี้มีลักษณะสีขาวอมเหลือง มีทั้งหนาและบาง เกิดจากเวลานำเนื้อพระมากดพิมพ์ เนื้อพระก้อนนั้นค่อนข้างเหลว เวลากดพิมพ์เสร็จแล้วใช้ไม้เคาะ ๆ ย้ำ ๆ น้ำปูนเปลือกหอยก็ไหลลงล่าง จึงเกิดเป็นผิวแป้งด้านหน้าพระ เมื่อเวลาผ่านไปร้อยกว่าปี การหดตัวของพระ การหลุดล่อนของมวลสาร การถูกสัมผัสเนื่องจากการใช้ เม็ดมวลสารก็โผล่ขึ้นมา เช่น เม็ดพระธาตุ เม็ดสีเทา และอื่น ๆ พูดถึงเม็ดพระธาตุ บางเม็ดบนพื้นผิวอาจถูกนำมาวางใหม่ เนื่องจากพระบางองค์ เม็ดพระธาตุหรือเม็ดมวลสารบางเม็ดหลุดร่อนไปทำให้เกิดเป็นรู เจ้าของพระบางคนก็จะให้ช่างแต่งพระหามวลสารที่ใกล้เคียงนำมาวางแทน วิธีสังเกตเม็ดพระธาตุของแท้ ขอบข้างเม็ดพระธาตุจะต้องสนิทชิดแน่น บางทีมีเปลือกผิวทับตามขอบก็มี หรืออีกแบบคือเม็ดพระธาตุจะชิดแค่ข้างเดียว อีกข้างจะห่างจากขอบเล็กน้อย ส่วนผิวบนเม็ดพระธาตุจะเสมอกับพื้นผิวข้าง ๆ หรืออาจจะต่ำกว่าผิวข้าง ๆ เล็กน้อยก็ได้ ส่วนเม็ดพระธาตุที่มาวางใหม่ขอบข้าง ๆ จะหลวมโดยรอบ พื้นผิวบนบางทีทำไม่เนียนจะสูงกว่าพื้นผิวข้าง ๆ แล้วแต่งสีให้ใกล้เคียง
หลักการพิจารณาด้านหลังสมเด็จวัดระฆัง
สมเด็จวังระฆัง ได้แบ่งการดูลักษณะด้านหลัง ออกเป็น 5 แบบ คือ
1. แบบหลังกระดาน
หลังแบบนี้จะสังเกตเห็นได้ว่าจะมีเส้นขวางเป็นบั้ง ๆ มีทั้งเล็กและใหญ่สลับกันไป สาเหตุที่เกิดหลังแบบนี้ เป็นเพราะไม้อันที่นำมากดพิมพ์ด้านหลังมีรอยผ่าไม้ซึ่งเกิดจากคลองเลื่อยค่อนข้างหยาบ กดหลังพระจึงเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญในการดูด้านหลังสมเด็จวัดระฆัง
2. แบบหลังกาบหมาก
สมเด็จวัดระฆังส่วนใหญ่ใช้ไม้กด หลังกาบหมากก็เช่นกัน น่าจะเกิดจากการนำเอาแผ่นไม้ที่ไม่ได้ผ่านการไสให้เรียบ แล้วนำมากดหลังพระ เมื่อกดเสร็จแล้วจะได้พื้นผิวที่หยาบ เมื่อเวลาผ่านไป เส้นต่าง ๆ เกิดการยุบตัว, หดตัว, หลุดล่อน จึงเกิดเป็นเส้นนูนขนาดเล็ก มีทั้งเส้นสั้น และยาวสลับกันไป และจะเกิดตามแนวขวางขององค์พระทั่วทั้งแผ่นหลังขององค์พระ
3. แบบหลังสังขยา
หลังแบบนี้ นักเลงพระรุ่นเก่า เรียกว่า "หลังขนมสังขยา" นี่ก็เป็นหลังอีกแบบหนึ่งของสมเด็จวัดระฆัง มีลักษณะเป็นหลุมเล็กและใหญ่สลับกันไป สาเหตุเนื่องจากมวลสารหลุดล่อนไป และบางส่วนมีการหดตัว, รอยย่นเป็นคลื่นกระจายไปทั่วแผ่นหลังขององค์พระ
4. แบบหลังเรียบ
นี่ก็เป็นหลังอีกแบบที่มีมากที่สุดของสมเด็จวัดระฆัง หลังแบบนี้จะมีพื้นผิวค่อนข้างเรียบเป็นส่วนใหญ่ และจะมีรอยเป็นคลื่น สูงต่ำบ้าง และจะมีเป็นหลุมเนื่องจากมวลสารหลุดล่อนบ้างเล็กน้อย
5. แบบหลังแยก
หลังแบบนี้ ผู้เขียนขอเพิ่มเติมเป็นแบบที่ 5 เพราะเป็นหลังที่สำคัญมาก มีลักษณะดังนี้ ถ้าเป็นแนวตั้ง รอยแยกจะเกิดขึ้นเป็นแนวเฉียงเป็นริ้ว ๆ ตามขอบ ขนาดเล็กใหญ่สลับกันไป ส่วนแนวนอน รอยแยกจะเกิดเล็กน้อย รอยแยกจะมีลักษณะเอียงเกือบขนานกับขอบล่างและขอบบนเท่านั้น
หมายเหตุ เรื่องต่อไป ชี้ตำหนิกำแพงลีลาเม็ดขนุน (องค์แชมป์) เร็ว ๆ นี้
ผู้เขียน : ช้าง-วัดห้วย