พระเครื่อง
- หมวด 4 จตุรเทพโคตรแชมป์
- พระสุดหวงของ ช้าง–วัดห้วย
- หมวดพระสวยขั้นเทพ-มีไว้แค่โชว์
- หมวดรวมพระแชมป์ยอดนิยม
- พระเบญจภาคี
- พระปิดตายอดนิยม
- เครื่องรางยอดนิยม
- พระเครื่องเนื้อโลหะยอดนิยม
- หมวดพระหลักฝากขาย เกรดพรีเมี่ยม
- พระเครื่องเนื้อดินยอดนิยม
- พระชุดเล็กยอดนิยม
- หมวดมรดกพระเครื่อง อ.เต็ก
- หมวดพระเครื่ององค์พิเศษ
- พระทวารวดี และเทวรูปขนาดเล็ก
- หมวดพระแชมป์–ราคาแรงส์
- หมวดพระแปลกตาแต่แท้ชัวร์
- หมวดพระแชมป์–ราคาเบา
- หมวดพระยอดหายาก
ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง จังหวัดนครปฐม (ฉบับสมบูรณ์)
โดย ช้าง-วัดห้วย
ราหูอมจันทร์ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง
ถ้าพูดถึงเครื่องราง ประเภทราหูอมจันทร์ ก็จะต้องนึกถึง วัดศรีษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เพราะที่วัดแห่งนี้ เป็นที่กำเนิดกะลาแกะราหูอมจันทร์ ของหลวงพ่อน้อย วัด ศรีษะทอง ที่มีอนุภาพโดดเด่น ทางด้านแก้ดวงตก และหนุนดวงชะตา ให้ฟื้นกลับขึ้นมาดีได้อีกครั้ง และชั่วโมงนี้ไม่มีใครหรือวัดไหนจะโด่งดังเท่าราหูอมจันทร์ ของหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง จากประสบการณ์ต่าง ๆ สำหรับผู้ที่พกราหูอมจันทร์ติดตัวไป ที่ผ่านมา ทุก ๆ ท่านคงได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระราหู ว่าเป็นเรื่องจริงที่เกี่ยวกับเรื่องแก้ดวงตก หนุนดวงชะตา และยังมีแคล้วคลาดจากภัยอันตรายอีกด้วย ผู้เขียนจึงอยากจะแนะนำให้ทุก ๆ ท่านหาราหูอมจันทร์พกติดตัว แล้ว พระราหูจะปรับแต่งดวงชะตาให้ทุกท่านอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ถ้าดวงตกก็จะเริ่มฟื้นตัว หรือประคองตัวให้รอดพ้นจากวิกฤตไปได้ ถ้าดวงดีอยู่แล้วก็จะประคับประคองให้ดวงที่ดีอยู่ได้นาน ๆ หรือดียิ่งขึ้นไป
ประวัติของวัดศรีษะทอง
เมื่อก่อน วัดศรีษะทอง เป็นที่ป่ารกร้างว่างเปล่า ไม่มีผู้คนมาอาศัย ต่อมาก็มีพวกชาวลาวเวียงจันทร์อพยพเข้ามาอาศัย จากไม่กี่ครอบครัวก็กลายเป็นหมู่บ้าน จนเริ่มเจริญรุ่งเรือง จนชาวบ้านร่วมมือกันสร้างวัดขึ้น ขณะก่อสร้าง ได้ขุดพบเศียรพระเป็นทองหรือสัมฤทธิ์แก่ทอง ภายหลังจึงตั้งชื่อวัดว่า “วัดหัวทอง” โดยมีเจ้าอาวาสองค์แรก ชื่อหลวงพ่อไตร ซึ่งเป็นชาวลาวอพยพมาจาก เวียงจันทร์ วัดหัวทองก็เจริญขึ้นมาเรื่อย ๆ และมีเจ้าอาวาสสืบต่อกันมาอีก 6 องค์ และพอมาถึง หลวงพ่อน้อยเป็นเจ้าอาวาส ก็สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับวัดหัวทอง ภายหลัง หลวงพ่อน้อยเห็นว่าชื่อ “วัดหัวทอง” นั้นไม่เหมาะสม จึงเปลี่ยนเป็น “วัดศรีษะทอง” และใช้ชื่อนี้กันมาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติการสร้างราหูอมจันทร์ ของวัดศรีษะทอง
การสร้างราหูอมจันทร์ของวัดศรีษะทอง เริ่มสร้างตั้งแต่สมัยหลวงพ่อไตร เจ้าอาวาส องค์แรกของวัดศรีษะทอง เป็นผู้ริเริ่มสร้างราหูอมจันทร์เป็นองค์แรกโดยหลวงพ่อไตรได้นำตำรามาจากเวียงจันทร์ หลังจากนั้นเจ้าอาวาสองค์ต่อมาคือหลวงพ่อตัน ซึ่งเป็นหลานของหลวงพ่อไตร หลวงพ่อตันองค์นี้จะดังในด้านเป็นหมอยารักษาโรคต่าง ๆ ได้เก่งมาก โดยเฉพาะ “น้ำมนต์ 7 บ่อ” ของท่านมีอนุภาพยิ่งนัก ส่วนราหูก็มีสร้างแต่ก็มีสร้างไม่มากนัก เจ้าอาวาสองค์ต่อมาก็คือหลวงพ่อลี ก็สร้างราหูอมจันทร์ไว้มาก แต่จะดังสู้ “ตะกรุดไม้รวกสองห้อง” ของท่านไม่ได้ หลังจากนั้น เจ้าอาวาสองค์ต่อ ๆ มา ก็ไม่ได้สร้างราหูอมจันทร์ จนมาถึงยุคของหลวงพ่อน้อย ก็เริ่มฟื้นฟูการสร้างราหูอมจันทร์ขึ้นมาอีกครั้ง หลวงพ่อน้อยได้เรียนวิชาอาคมจากโยมบิดา และได้ศึกษาจากตำราของวัดศรีษะทองที่บันทึกไว้ เป็นอักขระขอมลาวตั้งแต่สมัยหลวงพ่อไตร หลวงพ่อน้อยได้ศึกษาค้นคว้าจนมีความชำนาญอย่างสูง จึงได้สร้างราหูอมจันทร์ได้ขลังนัก จนทำให้วัดศรีษะทองมีชื่อเสียงและเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้
ตามตำนานการสร้างราหูอมจันทร์ของวัดศรีษะทอง จุดประสงค์คือต้องการเคล็ดของ พระราหู คือ ความเป็นอมตะของพระราหูที่ไม่รู้จักตาย แม้ต้องโดนคมจักรของพระนารายณ์ตัดขาด เหลือแค่ครึ่งตัวแต่ก็ไม่ตายเพราะแอบไปดื่มน้ำอมฤตเข้าไป ในตำรากล่าวไว้ว่าให้ใช้กะลาตาเดียวหรือกะลาไม่มีตา (กะลามหาอุตม์) มาแกะเป็นรูปราหูอมจันทร์เพราะถือว่ากะลาทั้งสองชนิดมีดีอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว และโบราณยังใช้กะลาตาเดียวทำประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น ใช้สำหรับตักข้าวสารใส่หม้อ ท่านว่า “เพิ่มพูน บริบูรณ์ พูนทรัพย์นับทวี” และสำหรับกันเสนียดจัญไร, แก้ คูณไสย์, กันผี อื่น ๆ อีกมากมาย
คาถาบูชาพระราหู
คาถาจันทรบัพพา สำหรับภาวนาพระราหูในตอนกลางคืน
กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต
ลา ลา มะ มะ โตลาโม
โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ
โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติ
คาถาสุริยบัพพา สำหรับภาวนาพระราหูในตอนกลางวัน
ยัตถะตังมะมะ ตังถะ ยะตะ วะตัง
มะ มะ ตัง วะติตัง
เสกามะมะ กาเสกัง
กาติยังมะมะ ยะติกา
หลักการพิจารณาราหูอมจันทร์
หลักการพิจารณาราหูอมจันทร์ ถ้าเป็นการอธิบายด้วยลายมือของผู้เขียนอย่างเดียว จะเป็นการอธิบายได้ยากมาก ผู้เขียนจึงจะใช้รูปมาประกอบแต่ละอย่างแต่ละเรื่อง จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เราจะแบ่งอธิบายออกเป็น 2 เรื่องใหญ่ ๆ ก็คือ 1. ศิลปะการแกะพระราหู 2. ลายมือจารอักขระ
หลักเกณฑ์ในการแบ่งศิลปะการแกะพระราหูว่าอยู่ยุคไหน
การแบ่งศิลปะการแกะว่าอยู่ยุคไหน ตรงนี้จะยากมากสำหรับคนทั่วไป หรือพวกเซียนที่เก่งไม่จริง จะแยกไม่ออก ปัจจุบัน เซียนทั่วไปจะเล่นราหูสึก ๆ ช้ำ ๆ ก็จะตีเข้าเป็นราหูหลวงพ่อน้อย ผู้เขียนเห็นลงหนังสือฝากซื้อ-ฝากขาย ศิลปะ อ.ปิ่น ทั้งนั้น แต่ขายเป็นหลวงพ่อน้อย เราจะลองแบ่งยุคกันว่าเป็นอย่างไร ในเมื่อสมัยหลวงพ่อน้อยเป็นศิลป์มาตรฐาน เราจะแบ่งง่าย ๆ คือ ยุคก่อน หลวงพ่อน้อย และยุคหลังหลวงพ่อน้อย
- ยุคก่อนหลวงพ่อน้อย เริ่มตั้งแต่สมัยหลวงพ่อไตร, หลวงพ่อตัน หลวงพ่อลี ลักษณะรูปทรงจะเป็นทรงสามเหลี่ยม ทรงรูปไข่ ทรงกลม ขนาดค่อนข้างใหญ่ และรูปทรงไม่แน่นอน บางคนจะเรียกศิลป์โบราณก็ได้ส่วนทรงเสมา อาจจะยังไม่มีในยุคนี้
- ยุคหลวงพ่อน้อย เป็นยุคที่เฟื่องฟูที่สุด การแกะส่วนใหญ่จะเป็นทรงเสมามีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ช่างแกะราหูที่แกะได้สวยงาม และประณีตมาก และเป็นศิลป์มาตรฐาน ได้แก่ ช่างสี (หรือสีใหญ่) ปัจจุบันศิลป์ที่ช่างสีแกะจะมีราคาสูงมาก
- ยุคหลังหลวงพ่อน้อย เริ่มตั้งแต่ อ.ปิ่นลงไปจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยุคนี้เป็นยุคที่ผลิตราหู อมจันทร์ออกมามาก รูปทรงก็ยังเป็นทรงเสมาเช่นกัน แต่การแกะฝีมือค่อนข้างหยาบ การแกะไม่ค่อยได้สัดส่วน เรียกง่าย ๆ ว่าส่วนใหญ่แกะหน้าเด๋อ ๆ ทั้งนั้น
หลักเกณฑ์ในการแบ่งลายมือจารอักขระว่าเป็นของใคร
ลายมือจารอักขระเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าราหูอมจันทร์ชิ้นนั้นเป็นของใคร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก และส่วนใหญ่จะไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจะศึกษากัน เพียงแต่เล่นดูความเก่าเป็นหลัก บางคนชอบราหูบาง ๆ บางคนชอบราหูตรง ๆ งอไม่เล่น บางคนชอบราหูมีเขี้ยว ส่วนลายมือจารอักขระจะไม่ค่อยพูดถึง เพียงแต่เล่นตามกลุ่มนั้น ๆ ว่าชอบเล่นแบบไหน เราจะมาลองแบ่งลายมือเป็น 4 แบบ ที่ควรจะศึกษาและจดจำคือ
ลายมือจารอักขระนิยม
- ลายมือจารอักขระนิยม หรือจะเรียกว่า “ลายมือนิยม” ที่บรรดาเซียนต่างยอมรับว่าแบบนี้สากลเขาเล่นกัน และยอมรับว่า เป็นลายมืออยู่ในยุคของหลวงพ่อน้อย ส่วนจริง ๆ แล้วเป็นลายมือใครจารไม่มีใครยืนยันได้ บ้างก็ว่าเป็นหลวงพ่อน้อยจาร บ้างก็ว่าเป็นลูกศิษย์ท่านหนึ่งจาร แล้วเอาไปให้หลวงพ่อน้อยปลุกเสกอีกที แต่สำหรับผู้เขียนว่าไม่ใช่ลายมือของหลวงพ่อน้อยแน่นอน
ลายมือจารอักขระของหลวงพ่อน้อย
- ลายมือจารอักขระของหลวงพ่อน้อย (ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แล้วแต่จะชอบเล่นแบบไหน) บางตำราจะบอกว่าลักษณะลายมือของหลวงพ่อน้อยจะตัวกลมเล็ก ๆ และเป็นระเบียบ แต่เท่าที่เห็นมาก็หลายชิ้น ลายมือของหลวงพ่อน้อยจะไม่จารตัวเล็ก จะจารขนาดกลางถึงใหญ่ แต่ก็ไม่ใหญ่เท่าของ อ.สม ผู้อ่านลองดูรูปและลองจดจำดู
ลายมือจารของหลวงพ่อน้อย จะมีจาร 2 แบบ
- จารแบบสูตรเดียว คือ จารจันทรุปราคา หรือจารสุริยุปราคา เพียงสูตรเดียวเท่านั้น หมายความว่า หลวงพ่อน้อยจะจารตอนเกิดจันทรุปราคา หรือสุริยุปราคาเท่านั้น และจะเริ่มจารตอนเริ่มคลายตัวออก หลวงพ่อน้อยจะถือเคล็ดคำว่า “คลายออก” เท่านั้น ก็ลองคิดดูว่าหลวงพ่อน้อยจะจารได้กี่ชิ้น (เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจว่าคนโบราณจะหวงมากสำหรับราหูอมจันทร์ที่จารสูตรเดียว ที่แท้ความสำคัญมันอยู่ตรงนี้) จะเห็นได้ว่าลายมือของหลวงพ่อน้อยที่จารสูตรเดียวจะหายากมาก ราหู อมจันทร์ที่ผ่านมือผู้เขียนมากกว่าร้อยชิ้นและมีเก็บสะสมอีก 40 ชิ้น ส่วนลายมือจารของหลวงพ่อน้อยแบบจารสูตรเดียวมีแค่ 3 ชิ้นเท่านั้น ส่วนราคาไม่ต้องพูดถึง แพงกว่าลายมือนิยมประมาณ 3 เท่า
- จารแบบสองสูตร คือจารทั้งจันทรุปราคาและสุริยุปราคา จะจารสูตรไหนขึ้นก่อนก็ได้ คือหลวงพ่อน้อยจะหาฤกษ์ดี แล้วจารไปท่องคาถากำกับไปจนจบ แล้วจะมาปลุกเสกรวมอีกครั้งหนึ่ง จารสองสูตรแบบนี้ก็ไม่ใช่จะหาง่าย ๆ เพราะส่วนใหญ่หลวงพ่อน้อยจะให้ลูกศิษย์หรือคนแกะราหูจารมาให้จนเสร็จ แล้วหลวงพ่อน้อยจะปลุกเสกอีกครั้ง จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อน้อยจะจารเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น พระราหูที่เป็นลายมือของท่านจึงหายากมาก ผู้คนหรือเซียนทั่วไปถึงไปยึดลายมือนิยมเป็นหลัก เพราะมีจำนวนมากพอสมควรจึงจะหมุนเวียนได้ หลวงพ่อน้อยจะจารอักขระสูตรจันทรุปราคาทั้งหมด 14 ตัว และจะจารสูตรสุริยุปราคาอีก 16 ตัว รวม 2 สูตร 30 ตัว ไม่รวมตัวปิด (ใบพัด) ส่วนราคาจะแพงกว่าลายมือนิยมประมาณ 2 เท่า
ลายมือ อ.ปิ่น แบบบรรจง และแบบหวัด
- ลายมือจารอักขระของ อ.ปิ่น ลักษณะทั่วไปจะเป็นตัวกลมเล็ก ๆ จารเป็นระเบียบ จะมี 2 แบบ คือ จารเป็นระเบียบบรรจง และแบบเขียนหวัด ปัจจุบันลายมือของ อ.ปิ่น เล่นเป็นของ หลวงพ่อน้อยซะส่วนใหญ่ จริงอยู่ลายมือ อ.ปิ่น ก็มีอยู่ในยุคหลวงพ่อน้อย แต่ใครจะแยกออกว่า ราหูชิ้นนี้อยู่ยุคหลวงพ่อน้อยหรือยุค อ.ปิ่น แต่ถ้าให้ผู้เขียนตัดสินก็คือ ราหูอมจันทร์ชิ้นไหนถ้าเป็นลายมือ อ.ปิ่น จะอยู่ยุคไหนก็ตาม ให้ตีเป็นยุค อ.ปิ่น ทั้งหมด
ลายมือจารอักขระ อ.สม
- ลายมือจารอักขระของ อ.สม ลักษณะลายมือจะจารตัวใหญ่มาก และจารไม่เป็นระเบียบ เรียกว่าโฉ่งฉ่างทีเดียว ลายมือ อ.สม นี้ ให้จัดอยู่ในยุค อ.ปิ่น หรือ ยุคหลัง อ.ปิ่น หรือจะเรียกว่า ยุคหลังก็ได้ ลายมือของ อ.สม จะไม่นิยมเล่นและราคาถูก
สรุปการเลือกเช่าราหู และข้อควรระวัง
- กรณีเราดูไม่เป็นคือไม่ชำนาญ ให้เลือกเล่นลายมือนิยมที่สากลยอมรับ และเลือกราหูอมจันทร์ที่เป็นพระใช้ คือพระสึกเล็กน้อย ฟอร์มดี เนื้อจัด ๆ ดูง่าย ๆ จะปลอดภัย ปราศจากการโดนสวด
- กรณีเราดูเป็นแบบนี้จะง่าย ให้เลือกศิลป์สวย ๆ เช่น ช่างสีแกะ (องค์ตัวอย่าง) ลวดลายสมบูรณ์ พื้นผิวแห้งสนิท ส่วนลายมือถ้าจะขายต่อให้เลือกลายมือนิยม แต่ถ้าจะเก็บไว้ใช้เองให้เลือกลายมือหลวงพ่อน้อย
- กรณีเลือกเช่าราหูอมจันทร์เลี่ยมเก่า
1. ถ้าเป็นด้านหน้า ให้ดูขอบความโค้งด้านในทั้ง 2 ฝั่ง ของโลหะจะต้องตรงกับลวดลายความโค้งของกะลาแกะถ้าไม่ตรงกันแสดง “สวมใหม่”
2. ถ้าเป็นด้านหลังจะมี 3 แบบ
2.1 มีฝาหลังให้สังเกตขอบข้างจะตีพับแน่น ขอบจะยกขึ้นมาเป็นสัน ฝาหลังจะไม่ขยับเขยื้อน
2.2 ไม่มีฝาหลัง ให้สังเกตขอบข้างจะตีพับแน่นไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน
2.3 มีฝาหลังแต่ถูกแกะออก ให้สังเกตขอบข้างจะมีรอยแกะออก แล้วการพับขอบจะไม่สนิท เพราะเดิมมันมีฝาหลัง ทำให้เกิดช่องว่างเท่ากับความหนาของแผ่นหลัง เมื่อพับลงมามันจะโก่งตรงโคนรอยพับ
- มีบางคนต้องการเพิ่มมูลค่าของราหูอมจันทร์จึงไปสั่งทำใหม่ โดยใช้ราหูอมจันทร์ของแท้ แต่ไปเลี่ยมใหม่ แต่ใช้ลวดลายโบราณให้คนซื้อเข้าใจว่าเลี่ยมเก่ามาแต่เดิม แบบนี้ก็มีเซียนโดนกันมาแล้วหลายราย ให้สังเกตราหูอมจันทร์ที่มาทำแบบนี้ ส่วนใหญ่จะหาราหูอมจันทร์แบบดูง่าย ๆ เนื้อย่น ๆ มาทำ ให้สังเกตโลหะที่สึกเอง หรือทำให้สึก จะไม่เหมือนกัน ให้ดูลวดลายของโลหะตามซอกลวดลายยังไงมันก็จะเห็นความใหม่ของโลหะ ส่วนถ้าบางองค์จะมีจารบนแผ่นหลัง หรือขอบข้างให้สังเกตในร่องเส้นยันต์ จะมีความสดเงาอยู่ ราหูแบบดังกล่าวที่ไปสวมทำเป็นของเลี่ยมเก่า ผู้เขียนก็เคยเจอมีคนมาลองตาผู้เขียน แต่ผู้เขียนก็ตอบสั้น ๆ ว่า ราหูอมจันทร์ข้างในนะแท้ แต่เลี่ยมข้างนอกทำใหม่ คนขายหน้าซีดเลย แต่ผู้เขียนไม่อธิบายให้ฟังนะ เดี๋ยวมันจะไปพัฒนาให้ดีขึ้น ให้สังเกตราหูอมจันทร์ด้านในสึกจนย่นแต่ข้างนอกยังสมบูรณ์ มันจะเป็นไปได้ไง? ถ้าราหูสึกจนย่นขนาดนั้น โลหะด้านนอกคงเยินน่าดู กรณีที่แต่งโลหะด้านนอกให้เก่ายังไงในซอกก็ยังหลงเหลือความใหม่ของโลหะอยู่บ้าง พื้นผิวจะหลงเหลือรอยขัดถูเป็นขีดไขว้ไปมา ส่วนตามมุมขัดไม่ถึงก็จะยังสดใหม่อยู่ โลหะที่เลี่ยมเก่าที่สึกเองคือผ่านการใช้มาจากอดีต พื้นผิวจะสึกแบบเรียบเนียนตามซอกจะมีเหงื่อไคลเกาะอยู่บ้างไม่มากก็น้อย